admin L2D

news-20250701-01

DHL Express สร้างประวัติศาสตร์! สั่งซื้อ "เครื่องบินไฟฟ้า Alice" 12 ลำ จาก Eviation บุกเบิกขนส่งสินค้ารักษ์โลกครั้งแรกของโลก

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส (DHL Express) ผู้นำระดับโลกด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ร่วมกับ Eviation ผู้ผลิตเครื่องบินไฟฟ้าระดับโลก ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญในอุตสาหกรรมการบิน ด้วยการประกาศว่า DHL จะเป็นลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อ เครื่องบินไฟฟ้า Alice จำนวน 12 ลำ จาก Eviation โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำในการสร้างเครือข่ายการขนส่งด่วนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครื่องบินไฟฟ้า Alice ของ Eviation ถือเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งลำ ซึ่งจะช่วยให้สายการบินขนส่งสินค้าและผู้โดยสารสามารถปฏิบัติงานได้โดยไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ทาง Eviation คาดว่าจะสามารถส่งมอบเครื่องบิน Alice ให้กับ DHL Express ได้ในปี 2024 นี้

มุ่งมั่นสู่โลจิสติกส์ปลอดคาร์บอน

จอห์น เพียร์สัน ซีอีโอของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตของโลจิสติกส์ที่ปลอดก๊าซเรือนกระจก โดยระบุว่า การลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทในการลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และการนำไฟฟ้ามาใช้ในทุกโหมดการขนส่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ DHL Express ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมการบินมานานหลายทศวรรษ รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Eviation ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน การร่วมมือครั้งนี้จะนำพาสู่ยุคใหม่ของการบินที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ประสิทธิภาพและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ Alice

เครื่องบินไฟฟ้า Alice ออกแบบมาให้ขับเคลื่อนโดยนักบินเพียงคนเดียว สามารถบรรทุกสินค้าได้ 1,200 กิโลกรัม (2,600 ปอนด์) ใช้เวลาชาร์จพลังงานเพียง 30 นาที หรือน้อยกว่าสำหรับการบินหนึ่งชั่วโมง และมีระยะบินไกลสุด 815 กิโลเมตร (440 ไมล์ทะเล) เครื่องบิน Alice จะเข้ามาแทนที่เครื่องบินลูกสูบและใบพัดที่ใช้เชื้อเพลิงในปัจจุบัน ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทันสมัย มีชิ้นส่วนถอดได้น้อย ทำให้มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดค่าบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยตรวจจับประสิทธิภาพการบิน เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องบินจะทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

โอเมอร์ บาร์-โยเฮ ซีอีโอของ Eviation กล่าวว่า การร่วมมือกับ DHL ซึ่งเป็นผู้นำด้านการขนส่งสินค้าอย่างยั่งยืน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ายุคสมัยของพลังงานไฟฟ้าในอุตสาหกรรมการบินได้มาถึงแล้ว การประกาศความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของการบินโลก

เครื่องบินไฟฟ้า Alice ไม่เพียงเหมาะสำหรับการลำเลียงสิ่งของ แต่ยังใช้เงินลงทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสถานีน้อยกว่า และสามารถชาร์จไฟฟ้าขณะแวะโหลดหรือนำสินค้าลงได้ ซึ่งจะช่วยให้การส่งมอบสินค้าตามตารางเวลาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตามมาตรฐานของ DHL Express

ทราวิส ค็อบบ์ ผู้บริหารระดับสูงด้าน Global Network Operations and Aviation ของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เสริมว่า ระยะการบินและพื้นที่บรรจุสินค้าของ Alice ทำให้เป็นโซลูชั่นที่ยั่งยืนและตอบโจทย์เครือข่ายระดับโลกของ DHL ซึ่งการพัฒนาด้านการบินและเทคโนโลยีเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไป เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้ได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต นับเป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับทั้ง DHL ลูกค้า และอุตสาหกรรมการบินโดยรวม เพื่อการเดินทางที่ปราศจากคาร์บอน

วิสัยทัศน์สู่ความยั่งยืนของ DPDHL Group

การลดคาร์บอนในการปฏิบัติงานเป็นหนึ่งในเสาหลักของแผนงานด้านความยั่งยืนฉบับใหม่ที่ DPDHL Group (บริษัทแม่ของ DHL) ประกาศใช้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2021 โดยภายในปี 2030 กลุ่มบริษัทจะลงทุนรวม 7 พันล้านยูโร (ทั้งในรูปแบบของเงินทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะการลงทุนในระบบพลังงานไฟฟ้าสำหรับการขนส่งในระยะสุดท้าย (last-mile delivery), เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน และการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ในปี 2050 ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปีแล้ว DPDHL Group ยังคงมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ตามความตกลงปารีส และเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร Science Based Targets initiative (SBTi)

DHL คือผู้นำระดับโลกด้านบริการโลจิสติกส์ ด้วยบุคลากรกว่า 400,000 คนใน 220 ประเทศ ให้บริการขนส่งที่หลากหลายและเชื่อถือได้ ส่วน Eviation เป็นบริษัทพัฒนาและผลิตเครื่องบินไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่มุ่งเน้นนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน เพื่อเปิดศักราชใหม่ให้กับวงการการบินด้วยการสร้างเครื่องบิน Alice ที่ใช้ไฟฟ้าทั้งลำ

ที่มา marketingoops

news-20250618-01

แก้ปัญหารถติดแหลมฉบัง! "คมนาคม" แท็กทีมเอกชน ผุดแผนเร่งด่วน ลดเวลารอรถบรรทุกเหลือไม่กี่ชั่วโมง

กระทรวงคมนาคม กำลังเดินหน้าแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณ ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) อย่างเร่งด่วน หลังพบว่ารถบรรทุกต้องใช้เวลารอคอยเฉลี่ยสูงถึง 10-20 ชั่วโมงต่อเที่ยวงาน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อต้นทุนของผู้ประกอบการและสุขภาพของพนักงานขับรถ

นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งจะเน้นทั้งมาตรการระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และวางรากฐานการบริหารจัดการในระยะยาว

แผนแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและระยะยาว

  • จัดระเบียบพื้นที่และบริหารการจราจร: จัดสรรลานจอดรถบรรทุกเพิ่มเติม 70 ไร่ และ 22 ไร่ เพื่อลดการจอดซ้อนคันบนถนนสาธารณะ พร้อมเพิ่มห้องสุขาเคลื่อนที่ 12 จุด อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่
  • ผ่อนคลายความแออัด: ประสานกรมศุลกากรขออนุญาตนำตู้สินค้าขาเข้าไปพักนอกเขตท่าเรือเป็นการชั่วคราว พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
  • ใช้ระบบ Truck Queue เต็มรูปแบบ: นำระบบจัดการคิวรถบรรทุก 100% เพื่อความเป็นธรรม ลดความแออัดบริเวณหน้าทางเข้า และจัดเตรียมพื้นที่นอกเขตรั้วศุลกากรสำหรับรองรับรถที่รอคิว นอกจากนี้ ยังจะพัฒนาแอปพลิเคชัน (Dash board) บนโทรศัพท์มือถือ และติดตั้งกล้อง CCTV พร้อมระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์เพื่อติดตามสถานการณ์จราจร
  • เชื่อมโยงฐานข้อมูล: พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างท่าเรือ สายการเดินเรือ ผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ใช้บริการ ให้ทำงานบนฐานข้อมูลกลาง เพื่อให้กระบวนการเคลียร์สินค้าและตู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • มาตรการระยะกลางและระยะยาว: ส่งเสริมการจองคิวล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์เพื่อกระจายปริมาณรถตามรอบเวลา และศึกษาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น แนวคิดการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟหรืออุโมงค์ รวมถึงพัฒนาสู่การเป็น Smart Port ด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรและการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสรวุฒิ ย้ำว่า กระทรวงคมนาคมและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนความเชื่อมั่นในระบบโลจิสติกส์ของไทย และบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพนักงานขับรถบรรทุกในพื้นที่ให้เร็วที่สุด

ที่มา thaipbs

news-20250627-03

ทั่วโลกเร่งหนีภาษีสหรัฐฯ! ดันดัชนีราคาสินค้าส่งออก - นำเข้าไทย พ.ค. 68 พุ่ง หวั่นปัจจัยเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจอนาคต

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โดย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้าของไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าจากประเทศคู่ค้าที่เร่งตัวขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการนำเข้าสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเพื่อใช้ในการผลิต

อย่างไรก็ตาม สนค. ยังคงเตือนถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, นโยบายกีดกันทางการค้า, และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ดัชนีราคาส่งออก: อุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูปเป็นดาวเด่น

ดัชนีราคาส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 111.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 0.4% (YOY) โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ รวมถึงการขยายตัวที่ดีของการส่งออกอาหารแปรรูป

หมวดสินค้าอุตสาหกรรม: สูงขึ้น 1.6% โดยเฉพาะ ทองคำ (ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น), เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ความต้องการเร่งนำเข้าก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เต็มรูปแบบ และความต้องการรองรับ AI-Data Center), และ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (อุณหภูมิและความชื้นทั่วโลกสูงขึ้น)
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร: สูงขึ้น 1.4% ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (สินค้าเก็บได้นาน ปลอดภัย), อาหารสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียมและ Functional Food), และ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ)

ในทางตรงกันข้าม หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ได้แก่ หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 15.8% โดยเฉพาะ น้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ (อุปทานส่วนเกิน-ความต้องการชะลอตัว) และ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 4.0% ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ข้าว (อุปทานโลกสูง-การแข่งขันจากอินเดียและเวียดนาม) และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (ความต้องการจากจีนลดลง)

ดัชนีราคานำเข้า: ผู้ผลิตเร่งสต็อกรับมือภาษีสหรัฐฯ

ดัชนีราคานำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 114.1 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.4% (YOY) สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ผลิตในประเทศเร่งสต็อกนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้า (Prestock) เพื่อเตรียมพร้อมก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า

หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค: สูงขึ้น 8.5% โดยเฉพาะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, เครื่องประดับอัญมณี, ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่ง (ความต้องการใช้ภายในประเทศและการท่องเที่ยวขยายตัว)

หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป: สูงขึ้น 4.9% โดยเฉพาะ ทองคำ (ราคาสูงขึ้นตามเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และความกังวลตะวันออกกลาง-เศรษฐกิจโลก), อุปกรณ์ ส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ความต้องการในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม), และ ปุ๋ย (ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น-ความต้องการเพิ่มขึ้น)

หมวดสินค้าทุน: สูงขึ้น 4.3% ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (รองรับการผลิตเพื่อส่งออกและการขยายตัวของ AI-Data Center)

หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง: สูงขึ้น 0.8% โดยเฉพาะ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ (ความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์)

หมวดสินค้าเชื้อเพลิง: หดตัวเพิ่มขึ้น 14.6% โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันดิบ (ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก และคาดการณ์ว่าอุปทานจะสูงเกินอุปสงค์)

แนวโน้มเดือนมิถุนายน 2568 และปัจจัยเสี่ยง

นายพูนพงษ์คาดการณ์ว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 จะมีปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้าก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จะมีผลเต็มรูปแบบ, การเติบโตต่อเนื่องของสินค้าเกษตรแปรรูป, ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั่วโลก, และแนวโน้มต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ, ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ, ราคาสินค้าเกษตรบางกลุ่มที่เผชิญกับอุปทานส่วนเกิน, การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น, และความผันผวนและการแข็งค่าของค่าเงินบาท

ที่มา prachachat

news-20250627-02

"LEO" ชูทางเลือกส่งออก ทางเรือ - รถไฟ ลดเสี่ยงโลจิสติกส์

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เตรียมพร้อมช่วยภาคธุรกิจและผู้ส่งออกไทยพลิกวิกฤตจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่มีการควบคุมเข้มและปิดด่านหลายจุด และสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากช่องแคบฮอร์มุซ ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นทางเรือและทางรถไฟ ฟากบิ๊กบอส "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" มั่นใจการเลือกใช้เส้นทางใหม่นี้ สามารถรองรับการส่งออกที่มีความต่อเนื่องและยืดหยุ่นได้มากขึ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การควบคุมชายแดนในจุดสำคัญส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางบกระหว่างไทย–กัมพูชาเกิดความล่าช้า ต้นทุนเพิ่มขึ้น และบางครั้งเสี่ยงต่อการเน่าเสียของสินค้า หรือขาดแคลน stock สินค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค LEO จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกพิจารณาเส้นทางใหม่ เช่น การส่งออกทางเรือหรือทางอากาศ  หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยที่ผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าทางเรือไปยังประเทศเวียดนาม แล้วขนส่งทางรถบรรทุกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาผ่านด่าน Bavet  โดยการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ด่าน Bavet นี้  มีความสะดวกเหมือนกับการดำเนินพิธีการการค้าชายแดนทั่วไปและมีขั้นตอนความยุ่งยากน้อยกว่าพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือหรือสนามบิน และยังช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทยได้อีกด้วย

โดยลูกค้าของบริษัทฯ จะได้รับความสะดวกและรวดเร็วสำหรับการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขนส่งจากพนักงานของบริษัท Logicam LEO (Cambodia) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ LEO ในประเทศกัมพูชา และมีแผนกให้บริการพิธีการศุลกากรและรถบรรทุกของตัวเอง และมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการพิธีการศุลกากรที่ชายแดนมาอย่างยาวนาน บริษัทฯ จึงมีความพร้อมในการใช้ด่าน Bavet เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการค้าชายแดนไทย – กัมพูชาได้ทันที

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเรือหลักระหว่างเอเชีย–ยุโรป ได้สร้างความกังวลในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางดังกล่าวใช้งานไม่ได้ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาค ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว LEO ได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากไทย–ลาว–จีน ไปยังประเทศในทวีปยุโรป ผ่าน บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส (LaneXang Express)  ที่เป็นบริษัทย่อยของ LEO ซึ่งมีเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้าเชื่อมต่อจากประเทศไทย ผ่านลาวตอนเหนือ (เวียงจันทน์ – บ่อเต็น), มณฑลยูนนานของจีน และเข้าสู่เครือข่ายรถไฟจีน–ยุโรป ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังประเทศปลายทาง เช่น เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในยุโรปได้ บริการนี้ตอบโจทย์ในด้าน ระยะเวลาขนส่งที่เร็วกว่าเรือ  ความสม่ำเสมอของตารางเดินรถและความปลอดภัยของสินค้า  เหมาะสำหรับสินค้ากลุ่ม FMCG, อุตสาหกรรม, และสินค้าเร่งด่วนที่ต้องส่งถึงตามกำหนด

“ล้านช้าง เอ็กซ์เพรส เป็นบริษัทฯ ที่มีความพร้อมและความสามารถในการให้บริการขนส่งทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Rail Transport Services) ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขนส่งสินค้าทางรางได้อย่างครบวงจรให้กับ LEO อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emission Reduction) ภายใต้สโลแกน “โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)” นายเกตติวิทย์ กล่าว

LEO พร้อมเป็น Partner ที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยเชื่อว่า ทุกวิกฤตคือโอกาสในการพัฒนาและขยายช่องทางการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางส่งออกไปยังกัมพูชาผ่านเวียดนาม หรือเส้นทางส่งออกไปยุโรปผ่านระบบรถไฟ LEO มีความเชี่ยวชาญและโซลูชันครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขนส่งสินค้าไปยังทุกจุดหมายปลายทางทั่วโลกอย่างมืออาชีพ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us