admin L2D

news-20250127-02

'คมนาคม' ถกกระทรวงญี่ปุ่น 'ปลุกท่าเรือสีเขียว' รับขนส่งสินค้าทางน้ำ

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือฯ เปิดเผยว่า กระทรวงและกทท. ได้เข้าร่วมประชุม​ ณ​ กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism: MLIT) ประเทศญี่ปุ่น​

นายชยธรรม์ กล่าวว่า MLIT มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือของประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการขนส่งทางทะเล สร้างความเชื่อมโยงทางการค้ากับนานาชาติ

ขณะเดียวกันได้มีนโยบายเพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของภูมิภาคเอเซีย ที่สามารถรองรับการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณมากและหลากหลายชนิด พร้อมเชื่อมโยงท่าเรือกับระบบขนส่งอื่นๆ เช่น รถไฟ รถบรรทุก และการขนส่งทางอากาศ

นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายในท่าเรือโดยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบไร้รอยต่อ (Seamless Operation) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประเทศในอาเซียนซึ่งถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศ

นายชยธรรม์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการหารือร่วมกับ MLIT นั้นพบว่ามีนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมเพื่อโอกาสของประเทศไทย มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนด้านการขนส่ง สร้างโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ MLIT จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยแล้วยังส่งเสริมในการพัฒนาท่าเรือควบคู่กับเมือง

สำหรับการนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ริมน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตลอดจนการพัฒนาท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของท่าเทียบเรือตู้สินค้า

ขณะเดียวกันยังส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก และใช้พลังงานหมุนเวียนต่างๆ ตลอดจนการติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าจากฝั่ง (Shore Power Supply) เพื่อลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเรือที่จอดเทียบท่า

"การเข้าพบปะหารือกับ MLIT วันนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการท่าเรือฯ ที่จะนำนโยบายต่างๆ ข้างต้น มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการของท่าเรือกรุงเทพต่อไป" นายชยธรรม์ กล่าว

การพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยว การพัฒนาท่าเรือสีเขียว และการพัฒนา การใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่จะส่งเสริมศักยภาพของท่าเรือไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่

ที่มา - thansettakij

news-20250127-01

'ดูไบ เวิลด์' หนุนไทยชิงบทฮับโลจิสติกส์ ชี้ช่วยลดเสี่ยงผลการค้าที่แตกแยก

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท DP World (UAE)  ณ  DP World House เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างการประชุม "World Economic Forum (WEF)"

นอกจากนี้  รัฐบาลยังดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาทิ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ  Landbridge, โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค

ด้านสุลต่าน อะห์เหม็ด แสดงความเห็นว่าบริษัทฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ให้เป็น ศูนย์โลจิสติกส์ระดับภูมิภาคแบบหลายรูปแบบ (Multi-modal) สำหรับการค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีน อินโดจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟ รวมทั้งโครงการท่าเทียบเรือชุด B ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับเรือและตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ รองรับการขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก

นอกจากนี้ DP World พร้อมจะเดินหน้าศึกษาการลงทุนโครงการ Land Bridge เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคอาเซียนและเชื่อมโยงไปมหาสมุทรอินเดียและกลุ่มประเทศความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล หรือ BIMSTEC

ในโอกาสการประชุม WEF ได้มีการนำเสนองานวิจัย  Trade in Transition 2025เผยแพร่โดย Economist Impact และ DP World สาระสำคัญระบุว่า ธุรกิจทั่วโลกสามในสี่กำลังเผชิญกับการปฏิรูป(ยกเครื่อง)ห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการลดขนาดซัพพลายเชนลงเพื่อลดผลกระทบความเสี่ยงต่างๆทางการค้าที่กำลังเพิ่มท่ามกลางความสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความแตกแยก

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์นี้ ซึ่งขับเคลื่อนอยู่บนความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ มีแนวโน้มจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลชุดใหม่ในสหรัฐ

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250124-02

'แคนาดา' ประกาศตอบโต้สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า 1 ก.พ. นี้

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประกาศว่ารัฐบาลแคนาดาพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ หากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา โดยรัฐบาลจะมุ่งเน้นปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ พร้อมทั้งระบุว่าความเจริญรุ่งเรืองของอเมริกาที่ทรัมป์สัญญาเอาไว้ ต้องอาศัยทรัพยากรของแคนาดา

ความเคลื่อนไหวนี้ มีขึ้นหลังจากทรัมป์ระบุกับผู้สื่อข่าวระหว่างลงนามคำสั่งในวันทำงานวันแรก ว่า กำลังคิดจะเก็บภาษีร้อยละ 25 สำหรับการนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันที่ 1 ก.พ. เนื่องจาก 2 ประเทศนี้ไม่ยอมจัดการปัญหาผู้อพยพและยาเสพติดที่ไหลทะลักเข้ามาในสหรัฐฯ

ขณะที่ในวันที่ 2 ของการทำงาน ทรัมป์ใช้โอกาสระหว่างเปิดการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ประกาศขู่เก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป โดยทรัมป์ ระบุว่า สหภาพยุโรปและประเทศอื่น ๆ ยังคงมีการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังหารือเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนร้อยละ 10 เนื่องจากจีนยังคงปล่อยให้มีการส่งออกเฟนทานิลเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านทางเม็กซิโกและแคนาดา โดยมาตรการดังกล่าวอาจเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.พ. นี้ เช่นกัน

ล่าสุดจีนออกมาเคลื่อนไหว โดยเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษี และย้ำถึงจุดยืนของจีนในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ด้วย

ที่มา - thaipbs

news-20250124-01

'ส่งออกไทยปี 67' ทุบสถิติโต 5.4% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 10 ล้านล้านบาท

สนค.เปิดตัวเลขส่งออกปี 2567 ทุบสถิติมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 5.4% ขณะที่การส่งออกไทยปี 2568 ตั้งเป้าการส่งออกขยายตัวในกรอบ 2-3% พร้อมจับตานโยบายทรัมป์ 2.0 กระทบเศรษฐกิจโลก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2567 พบว่ามีมูลค่า 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (853,305 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ 8.7% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 10.4% ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกทั้งปี 2567 ทำมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์

โดยการส่งออกมีมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรก หรือขยายตัว 5.4% และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 5.4%

ส่วนการนำเข้าเดือนธันวาคม 2567 มีมูลค่า 24,776.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 14.9% ส่งผลให้ไทยขาดดุล 10.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ภาพรวมของทั้งปี 2567 การส่งออกมีมูลค่า 300,529.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 306,809.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.3% ทำให้ไทยขาดดุล 6,280.4 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ 8.9 (YOY) ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน โดยสินค้าเกษตรขยายตัวร้อยละ 10.7 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ 6.7 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 48.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐ มาเลเซีย และเกาหลีใต้)

ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 7.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และฮ่องกง)

ที่มา - prachachat

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us