admin L2D

L2D Page (94)

เปิดโมเดลยกเครื่องประเทศไทย สู้วิกฤติเศรษฐกิจโลก-ภูมิรัฐศาสตร์

โมเดลใหม่ประเทศไทย : ทางออกท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวนและความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์
สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Reimagining Thailand’s Development Model : ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ” เพื่อนำเสนอทิศทางใหม่ที่ประเทศควรเลือกเดิน ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และโครงสร้างภายในประเทศที่กำลังถดถอยต่อเนื่องยาวนาน

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ฯ เปิดเวทีด้วยการชี้ให้เห็นว่า หากไทยต้องการปรับโฉมสู่โมเดลพัฒนาใหม่ ปัญหาที่ต้องเริ่มแก้คือ “อำนาจรัฐที่ล้นเกิน” โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นต้นทางของความล่าช้า การเอื้อประโยชน์ และอุปสรรคต่อการแข่งขัน แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยาก เพราะไม่มีผู้มีอำนาจคนใดอยากลดบทบาทของตนเองลง แต่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของการยกระดับระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ

เขายังกล่าวถึงบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ความตึงเครียดไทย–กัมพูชา ไปจนถึงแรงกระเพื่อมจากสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเชื่อมโยงประเด็นการค้าเข้ากับอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์โดยตรง รัฐบาลไทยจึงต้องเตรียม “เครื่องมือรับมือใหม่” ที่รอบด้านและทันสถานการณ์มากขึ้น

ในเชิงเศรษฐกิจ ดร.ศุภวุฒิเน้นว่ารัฐควรทุ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การผลักดันอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด หรือการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติคล้าย GIC ของสิงคโปร์ เพื่อสะสมผลประโยชน์ระยะยาว เขายังเตือนถึงโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง เมื่อแรงงานจะหายไปถึง 5 ล้านคน ภายในเวลาไม่นาน ในขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีก 7 ล้านคน จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ไทยต้องอัปสกิลแรงงานและกำหนดอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและบริการคุณภาพ ที่ต่อยอดจุดแข็งเดิม “เมืองไทยปลอดภัย อาหารอร่อย สุขภาพดี”

ด้านการต่างประเทศ นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ สะท้อนภาพชัดเจนว่าไทยกำลังเผชิญ “การถดถอยคู่ขนาน” ทั้งเศรษฐกิจและการทูต ตัวชี้วัดหลายด้านถอยหลังตลอด 10–15 ปี ขณะที่ภาพลักษณ์การทูตที่เคยโดดเด่นของไทยในภูมิภาคก็จางหายไปทีละน้อย แม้บทบาทในอาเซียนยังเป็นสิ่งที่ไทยรักษาไว้ได้ แต่ความแข็งแกร่งในเวทีโลกโดยรวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาย้ำว่าไทยต้องมีนโยบายต่างประเทศที่สง่างามและยืนบนผลประโยชน์ของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ชายแดน ปัญหาสิทธิภาษีการค้า และแนวโน้มสหรัฐที่มองเศรษฐกิจควบคู่ความมั่นคงกำลังกลายเป็นความท้าทายใหม่ของไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่การผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงการแข่งขันลดภาษีที่ทำให้ทุกประเทศเสียประโยชน์ ไทยจึงควรคิดนโยบายในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการผลักดันพลังงานสะอาดและโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน รวมทั้งการกำกับธุรกิจเทคโนโลยีต่างชาติให้สร้างประโยชน์จริงแก่สังคมไทย พร้อมกับการยกระดับภาคเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และสุขภาพ ให้เชื่อมเทคโนโลยีและตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เขาย้ำว่า บทบาทของรัฐต้องเปลี่ยนจาก “ผู้ควบคุม” สู่ “ผู้ร่วมพัฒนา” ผ่านการเปิดข้อมูล การสร้างระบบ E-ID ที่น่าเชื่อถือ และตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

บทสรุปส่งท้ายจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ชี้ให้เห็นโครงสร้างปัญหาที่ฝังลึกที่สุดของไทย: ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 20 ปี นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนถี่ เฉลี่ยอยู่ในตำแหน่งเพียงปีกว่า นโยบายจึงไม่ต่อเนื่องจนไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้เลย เขามองว่าทางออกต้องเริ่มจากการปฏิรูปการเมืองและแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีความชอบธรรม ทีมบริหารที่มีประสิทธิภาพ และมีเวลามากพอจะขับเคลื่อนประเทศในระยะยาว

L2D Page (93)

สิงคโปร์ส่งออกไม่รวมน้ำมันเดือนต.ค.พุ่ง 22.2% ส่งออกไปไทยพุ่งกว่า 90%

องค์การวิสาหกิจของสิงคโปร์ (Enterprise Singapore) รายงานว่า ยอดส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน (NODX) ของประเทศเติบโตอย่างโดดเด่นในเดือนตุลาคม โดยขยายตัวถึง 22.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 7.5% และเร่งตัวขึ้นจากการขยายตัว 7% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

การพุ่งขึ้นของ NODX เดือนตุลาคมได้รับแรงหนุนสำคัญจากการส่งออกทองคำที่ไม่รวมเงินทุนสำรอง ซึ่งทะยานสูงถึง 176.8% นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังมีบทบาทสำคัญ โดยการส่งออกวงจรรวมเพิ่มขึ้น 40.9% และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลปรับตัวขึ้นถึง 77.7% สะท้อนความต้องการสินค้าเทคโนโลยีที่ยังคงแข็งแกร่งในภูมิภาค

ตลาดหลักหลายแห่งของสิงคโปร์มียอดนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะไทย ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งล้วนเติบโตในระดับสูง ตัวเลข NODX ไปไต้หวันขยายตัว 61.5% ต่อจากการเพิ่มขึ้น 31.9% ในเดือนกันยายน ขณะที่การส่งออกไปไทยพุ่งขึ้นถึง 91.1% และไปฮ่องกงเพิ่มขึ้น 66.6% อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกากลับมีการนำเข้าสินค้าจากสิงคโปร์ชะลอตัวลงในเดือนเดียวกัน

ในภาพรวม ยอด NODX ของสิงคโปร์ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัว 4.1% สะท้อนการฟื้นตัวที่ค่อยเป็นค่อยไปของภาคการส่งออก ขณะที่ตัวเลขการค้าโดยรวมในเดือนตุลาคมเติบโต 23.2% เมื่อเทียบรายปี เร่งตัวขึ้นจากระดับ 14.6% ในเดือนกันยายน แสดงให้เห็นถึงความคึกคักของการค้าในภูมิภาคและความสามารถในการแข่งขันของสิงคโปร์ในตลาดโลก

L2D-Page-92

พาณิชย์ เร่งปิดดีล FTA ไทย-เกาหลีใต้ ดันความร่วมมือเศรษฐกิจปูทาง ลงทุนเทคโนโลยีอนาคต

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจไทย–เกาหลีใต้ครั้งใหญ่ โดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการหารือกับนายปาร์ค ยงมิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยว่า ทั้งสองประเทศเห็นพ้องเดินหน้าการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม หรือ CEPA ไทย–เกาหลีใต้ ให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับความร่วมมือจากกรอบ FTA เดิมไปสู่สถานะ “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน” ในอนาคต

รัฐมนตรีพาณิชย์ระบุว่า CEPA จะช่วยขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมโลกที่ซับซ้อนและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ไทยและเกาหลีใต้ต้องการผลลัพธ์แบบ “วิน–วิน” ที่เสริมความสามารถแข่งขันร่วมกันในห่วงโซ่การผลิตใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอนาคต

การหารือยังรวมถึงการเชิญชวนกลุ่มทุนชั้นนำจากเกาหลีใต้ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเน้นอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ พลังงานสะอาด ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของภูมิภาคและมีบทบาทในห่วงโซ่การผลิตระดับโลกของเกาหลีใต้ ปัจจุบันมีบริษัทเกาหลีใต้กว่า 400 แห่งดำเนินธุรกิจในไทย เช่น ฮุนได และ COSMAX ซึ่งต่างร้องขอให้รัฐบาลไทยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

นางศุภจีย้ำว่า รัฐบาลไทยกำลังเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้โปร่งใสและเอื้อต่อการลงทุน พร้อมยืนยันความตั้งใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเกาหลีใต้ด้วยดี

ด้านการค้า เกาหลีใต้เป็นคู่ค้าอันดับที่ 13 ของไทยในปี 2567 มูลค่าการค้ารวม 15,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 5,957 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 9,343 ล้านดอลลาร์ สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 11,685 ล้านดอลลาร์ ส่งออก 4,435 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 7,250 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย อลูมิเนียม แผงวงจรไฟฟ้า และน้ำมันสำเร็จรูป ส่วนสินค้านำเข้าหลักจากเกาหลีใต้ ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล และเครื่องจักรไฟฟ้า

การหารือครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดความตกลง CEPA เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเกาหลีใต้ ดึงดูดเงินทุนจากผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก และเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทยในยุคการแข่งขันเข้มข้นของเอเชียตะวันออก

L2D-Page-91

ซาอุดิอาระเบียปรับลงทุน AI-โลจิสติกส์เพิ่ม เงินเดือนแรงงานต่างชาติกระทบ

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า บริษัทเอกชนในซาอุดีอาระเบียเริ่มปรับลด “ส่วนเพิ่มเงินเดือน” ที่เคยมอบให้แรงงานต่างชาติระดับผู้เชี่ยวชาญในสายงานก่อสร้างและการผลิต หลังรัฐบาลปรับลดการใช้จ่ายและจัดลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจใหม่ ข้อมูลจากบริษัทสรรหาแรงงานหลายแห่งระบุว่าแนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางปฏิรูปเศรษฐกิจตามแผน Vision 2030 ที่ต้องการลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน พร้อมเร่งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ เหมืองแร่ และบริการทางการเงิน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียลงทุนอย่างมหาศาลในโครงการเมกะโปรเจกต์ จนทำให้ความต้องการแรงงานทักษะสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหลายโครงการเริ่มประสบปัญหาความล่าช้า บริษัทต่าง ๆ จึงหันมาปรับลดข้อเสนอเงินเดือนที่เคยสูงมากในช่วงก่อนหน้า ผู้สรรหาบางรายระบุว่าแรงงานต่างชาติไม่ควรคาดหวังส่วนเพิ่มเงินเดือนระดับ 40% อีกต่อไป เพราะทิศทางการลงทุนกำลังหันไปสู่สาขาอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโลจิสติกส์มากขึ้น

ทิศทางนี้ยังเชื่อมโยงกับการปรับแผนของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย (PIF) มูลค่ากว่า 925,000 ล้านดอลลาร์ ที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเดิม เช่น AI โลจิสติกส์ และเหมืองแร่ แทนการทุ่มงบไปที่โครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ตัวอย่างโครงการที่มีบทบาทสูง ได้แก่ นีออม (NEOM) เมืองอนาคตมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ และโครงการภูเขาโทรเจนา ซึ่งเตรียมเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Asian Winter Games ในปี 2029

ในอดีต นักบริหารโครงการจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) สามารถได้รับค่าตอบแทนสูงกว่างานเดิมหลายหมื่นดอลลาร์ แต่เมื่อโครงการภายใต้ PIF หลายแห่งเริ่มเจอความล่าช้า และการมอบสัญญาใหม่ลดลงเกือบครึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 (ตามข้อมูลของ Kamco Invest) ทำให้ตลาดแรงงานเปลี่ยนไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงยังทำให้รัฐบาลซาอุฯ เผชิญแรงกดดันด้านงบประมาณมากขึ้น แม้จะพยายามลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคา IMF ประเมินว่าราคาน้ำมันที่เหมาะสมต่อดุลการคลังซาอุดีอาระเบียควรแตะเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการแข่งขันกับ UAE ซึ่งยังคงเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวของภูมิภาค พร้อมความได้เปรียบด้านค่าตอบแทนปลอดภาษี ระบบการศึกษาและสาธารณสุขที่มีมาตรฐานสูง และวิถีชีวิตที่เสรีกว่าจนดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก รายงานของ Tuscan Middle East ระบุว่าบริษัทในซาอุดีอาจจำเป็นต้องนำงบประมาณที่จำกัดไปใช้กับตำแหน่งงานดาวรุ่งด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ค่าตอบแทนสำหรับงานสายดั้งเดิมลดลงตามไปด้วย ปัจจุบันค่าจ้างเฉลี่ยในซาอุดีอาระเบียและ UAE แตกต่างกันเพียง 5–8% จึงยิ่งยากที่จะดึงบุคลากรคุณภาพสูงออกจากดูไบ

อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับแรงงานจากยุโรป เอเชีย และประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตช้ากว่า เนื่องจากคาดว่าซาอุดีฯ จะเติบโต 4.4% ในปีนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเดินหน้าปฏิรูปตลาดแรงงานเพื่อเพิ่มสัดส่วนแรงงานท้องถิ่นในภาคเอกชน ส่งผลให้จำนวนผู้สมัครงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก อัตราว่างงานของพลเมืองลดลงในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และจำนวนแรงงานชาวซาอุฯ ในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 31% ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงไตรมาสสองของปีนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านสรรหาในดูไบให้ความเห็นว่าบริษัทต่าง ๆ ในซาอุดีอาระเบียเริ่มออกแบบแพ็กเกจค่าตอบแทนอย่างรอบคอบขึ้น โดยพิจารณาจากผลงานจริงและมาตรฐานตลาดมากกว่าการเสนอเงินเดือนที่สูงเพื่อแย่งตัวบุคลากรเหมือนในอดีต นี่สะท้อนถึง “ความเป็นผู้ใหญ่” ของตลาดแรงงานที่กำลังปรับเข้าสู่ความสมดุล หากซาอุฯ ต้องการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญระดับสูงต่อไป บริษัทจำเป็นต้องจัดเสนอแพ็กเกจที่มั่นคง ครอบคลุมค่าครองชีพ มีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม และต้องมีความชัดเจนในการดำเนินโครงการใหญ่ระดับประเทศด้วย

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us