admin L2D

L2D Page (97)

ไทย ปักหมุดตลาดตะวันออกกลาง นำทัพเอกชนลุยส่งออกมันสำปะหลัง

ไทยรุกเปิดตลาดมันสำปะหลังในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หวังสร้างดีมานด์ล่วงหน้ารับผลผลิตปี 2568/69
กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนและนักวิชาการรวมกว่า 22 ราย เดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสร้างความต้องการล่วงหน้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่ปี 2568/69 ออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ถึงมีนาคม 2569

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันตามนโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และเพิ่มมูลค่าการค้าสินค้ามันสำปะหลังของไทยให้รองรับปริมาณผลผลิตที่จะออกมากในฤดูกาลนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพราคาให้เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะเดินทางประกอบด้วยผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีด้านการแปรรูปมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ รวมถึงสื่อมวลชนที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ เพื่อร่วมเจรจาขยายตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร กระดาษ และกาว

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถือเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีกำลังซื้อสูง และเปิดกว้างต่อการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบคุณภาพดี อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในตะวันออกกลาง ซึ่งจะเอื้อต่อการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้ามันสำปะหลังไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นับเป็นการต่อยอดจากภารกิจบุกตลาดซาอุดีอาระเบียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานการส่งออกสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับภารกิจระหว่างวันที่ 18–22 พฤศจิกายน 2568 คณะเดินทางมีกำหนดหารือกับผู้นำเข้ารายใหญ่ในกรุงอาบูดาบีและนครดูไบ ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมที่ใช้แป้งเป็นวัตถุดิบ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด มุมมองธุรกิจ และแนวทางสร้างความร่วมมือทางการค้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มการส่งออกสู่ตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากขึ้น การดำเนินงานดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ พร้อมเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้ามันสำปะหลังไทยในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน

L2D Page (96)

เอกชนชงขนส่งทางเรือหนุนการค้า -ดิจิทัลช่วย

รายงานจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในเดือนกันยายน 2568 มีจำนวนธุรกิจสะสมทั้งประเทศ 47,075 ราย โดยเดือนดังกล่าวมีธุรกิจเปิดใหม่ 338 ราย และมีธุรกิจปิดกิจการ 79 ราย สาเหตุสำคัญของการปิดกิจการส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่

ในด้านโครงสร้างการขนส่ง การขนส่งทางเรือยังคงครองบทบาทสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 56.8% ของมูลค่าการค้าทั้งหมด หรือประมาณ 1,120,692.18 ล้านบาท และยังมีอัตราการเติบโต 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แนวโน้มดังกล่าวมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากสินค้าคงคลังของผู้นำเข้าสำคัญอย่างสหรัฐเริ่มลดลง หลังมีการเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีตอบโต้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน ช่วงปลายปียังเป็นฤดูกาลจับจ่าย ส่งผลให้ความต้องการสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น และทำให้การขนส่งทางเรือคาดว่าจะยังคงคึกคัก นอกจากนี้ ค่าระวางเรือเส้นทางสู่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับลดลงราว 30% ในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นปัจจัยช่วยลดต้นทุนและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายการขนส่งได้มากขึ้น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคส่งออกไทย

การหารือมุ่งเน้นไปที่การเสริมความสามารถในการแข่งขันสามประเด็นสำคัญ โดยประเด็นแรกคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความแออัดของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการส่งออกของไทย รวมถึงการเร่งรัดความคืบหน้าของสัญญาสัมปทานไอซีดีลาดกระบัง และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางภายใต้โครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) เพื่อช่วยลดปัญหาจราจรภายในพื้นที่ท่าเรือ

ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ สรท. เห็นพ้องให้ผลักดันการปลดล็อกเรื่องการถ่ายลำตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนส่งออกได้ประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่ผู้ประกอบการไทยต้องเสียเปรียบด้านต้นทุนค่าระวางตู้ เนื่องจากต้องใช้บริการเรือ Feeder สู่ท่าเรือในต่างประเทศ การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 6 ฉบับแรกจากทั้งหมด 17 ฉบับจึงถูกเร่งผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

สำหรับด้านการพัฒนาดิจิทัล กระทรวงคมนาคมกำลังเดินหน้าพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเตรียมเชื่อมต่อกับระบบจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) เพื่อแก้ปัญหาความแออัดภายในท่าเรือแหลมฉบัง การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายในการยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางเรือของไทย ซึ่งถือเป็นประตูการค้าสำคัญสู่ตลาดโลก

L2D Page (95)

เปิดสถิตินำเข้า-ส่งออกสินค้าไทย กับสหรัฐฯ - จีน 2568 (ม.ค. - ก.ย.)

สถิติการค้าไทย–สหรัฐฯ และไทย–จีน ปี 2568 (มกราคม–กันยายน)
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยข้อมูลล่าสุดระบุว่า สหรัฐอเมริกาและจีนยังคงเป็นประเทศคู่ค้าหลักอันดับที่ 1 และ 2 ของไทย โดยมีรายละเอียดการค้าระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน ปี 2568 ดังนี้

ในส่วนของสหรัฐอเมริกา มูลค่าการค้าในปี 2567 อยู่ที่ 2,616,078 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 1,928,024 ล้านบาท และการนำเข้า 688,054 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 1,239,969 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 2,248,852 ล้านบาท การส่งออกอยู่ที่ 1,722,234 ล้านบาท และการนำเข้า 526,618 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้า 1,195,615 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกเติบโต 19.03%

สำหรับประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย มูลค่าการค้าในปี 2567 อยู่ที่ 4,100,366 ล้านบาท การส่งออกมีมูลค่า 1,240,593 ล้านบาท และการนำเข้า 2,859,773 ล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้า 1,619,180 ล้านบาท ส่วนในปี 2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 3,618,784 ล้านบาท การส่งออกคิดเป็น 1,013,081 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 2,605,702 ล้านบาท ไทยขาดดุลการค้า 1,592,621 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 18.66% จากปีก่อน และการส่งออกขยายตัว 7.41%

นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นของไทยในปี 2568 ได้แก่ ญี่ปุ่นซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 584,790 ล้านบาท ตามด้วยอินเดียที่ 395,038 ล้านบาท และมาเลเซียที่ 329,782 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมการค้าไทยในภูมิภาคและระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (94)

เปิดโมเดลยกเครื่องประเทศไทย สู้วิกฤติเศรษฐกิจโลก-ภูมิรัฐศาสตร์

โมเดลใหม่ประเทศไทย : ทางออกท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวนและความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์
สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Reimagining Thailand’s Development Model : ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ” เพื่อนำเสนอทิศทางใหม่ที่ประเทศควรเลือกเดิน ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และโครงสร้างภายในประเทศที่กำลังถดถอยต่อเนื่องยาวนาน

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ฯ เปิดเวทีด้วยการชี้ให้เห็นว่า หากไทยต้องการปรับโฉมสู่โมเดลพัฒนาใหม่ ปัญหาที่ต้องเริ่มแก้คือ “อำนาจรัฐที่ล้นเกิน” โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นต้นทางของความล่าช้า การเอื้อประโยชน์ และอุปสรรคต่อการแข่งขัน แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยาก เพราะไม่มีผู้มีอำนาจคนใดอยากลดบทบาทของตนเองลง แต่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของการยกระดับระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ

เขายังกล่าวถึงบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ความตึงเครียดไทย–กัมพูชา ไปจนถึงแรงกระเพื่อมจากสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเชื่อมโยงประเด็นการค้าเข้ากับอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์โดยตรง รัฐบาลไทยจึงต้องเตรียม “เครื่องมือรับมือใหม่” ที่รอบด้านและทันสถานการณ์มากขึ้น

ในเชิงเศรษฐกิจ ดร.ศุภวุฒิเน้นว่ารัฐควรทุ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การผลักดันอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด หรือการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติคล้าย GIC ของสิงคโปร์ เพื่อสะสมผลประโยชน์ระยะยาว เขายังเตือนถึงโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง เมื่อแรงงานจะหายไปถึง 5 ล้านคน ภายในเวลาไม่นาน ในขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีก 7 ล้านคน จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ไทยต้องอัปสกิลแรงงานและกำหนดอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและบริการคุณภาพ ที่ต่อยอดจุดแข็งเดิม “เมืองไทยปลอดภัย อาหารอร่อย สุขภาพดี”

ด้านการต่างประเทศ นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ สะท้อนภาพชัดเจนว่าไทยกำลังเผชิญ “การถดถอยคู่ขนาน” ทั้งเศรษฐกิจและการทูต ตัวชี้วัดหลายด้านถอยหลังตลอด 10–15 ปี ขณะที่ภาพลักษณ์การทูตที่เคยโดดเด่นของไทยในภูมิภาคก็จางหายไปทีละน้อย แม้บทบาทในอาเซียนยังเป็นสิ่งที่ไทยรักษาไว้ได้ แต่ความแข็งแกร่งในเวทีโลกโดยรวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาย้ำว่าไทยต้องมีนโยบายต่างประเทศที่สง่างามและยืนบนผลประโยชน์ของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ชายแดน ปัญหาสิทธิภาษีการค้า และแนวโน้มสหรัฐที่มองเศรษฐกิจควบคู่ความมั่นคงกำลังกลายเป็นความท้าทายใหม่ของไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่การผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงการแข่งขันลดภาษีที่ทำให้ทุกประเทศเสียประโยชน์ ไทยจึงควรคิดนโยบายในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการผลักดันพลังงานสะอาดและโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน รวมทั้งการกำกับธุรกิจเทคโนโลยีต่างชาติให้สร้างประโยชน์จริงแก่สังคมไทย พร้อมกับการยกระดับภาคเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และสุขภาพ ให้เชื่อมเทคโนโลยีและตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เขาย้ำว่า บทบาทของรัฐต้องเปลี่ยนจาก “ผู้ควบคุม” สู่ “ผู้ร่วมพัฒนา” ผ่านการเปิดข้อมูล การสร้างระบบ E-ID ที่น่าเชื่อถือ และตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

บทสรุปส่งท้ายจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ชี้ให้เห็นโครงสร้างปัญหาที่ฝังลึกที่สุดของไทย: ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 20 ปี นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนถี่ เฉลี่ยอยู่ในตำแหน่งเพียงปีกว่า นโยบายจึงไม่ต่อเนื่องจนไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้เลย เขามองว่าทางออกต้องเริ่มจากการปฏิรูปการเมืองและแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีความชอบธรรม ทีมบริหารที่มีประสิทธิภาพ และมีเวลามากพอจะขับเคลื่อนประเทศในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us