admin L2D

L2D Page (130)

ไม่ใช่แค่ทางรอดแต่คือโอกาส พิมพ์เขียวเศรษฐกิจไทยสู่ Net Zero

การเดินทางสู่ความยั่งยืนในวันนี้ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่คือ “ทางรอด” และเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในทศวรรษนี้ การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศรับมือกับความผันผวนของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การรวมพลังของภาคธุรกิจในงาน SUSTAINABILITY FORUM 2026 : Shift Forward – Overcoming Challenges ที่จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ จึงสะท้อนชัดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแนวคิดความยั่งยืนได้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงแนวคิดเชิงนามธรรม และกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่องค์กรชั้นนำกำลังทำให้เกิดขึ้นจริง

พลังงานสะอาดได้กลายมาเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจสีเขียวและเป็นมาตรฐานใหม่ที่ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องยกระดับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การสร้างภาพของ “ความยั่งยืน” ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย และน่าดึงดูด เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ประชาชนยอมรับและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีคุณภาพชีวิตของผู้คนเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนที่สุดต้องเริ่มที่ “คน” ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และลงทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างจริงจัง การเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำคือกระบวนการที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม แนวทางเหล่านี้เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์สำคัญที่จะนำเศรษฐกิจไทยก้าวข้ามความท้าทายและมุ่งสู่อนาคตที่เติบโตอย่างสมดุลและมั่นคง

พลังของภาคธุรกิจที่ประกาศเจตนารมณ์ในงาน SUSTAINABILITY FORUM 2026 จึงเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม อนาคตของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับการลงมือทำในวันนี้ของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนและส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้คนรุ่นต่อไป

ประเทศไทยจึงต้องมี “พิมพ์เขียว” สำหรับการยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืนเป็นระบบ โดยต้องปรับนิยามการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มี “ความยั่งยืน” เป็นหัวใจสำคัญ ไม่ใช่มุ่งเน้นเพียงตัวเลข GDP เพราะการเติบโตของยุคใหม่ต้องสะท้อนคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและผลกระทบเชิงบวกต่อโลกอย่างแท้จริง

L2D Page (129)

“เอกนิติ” ชี้ไทยต้องรีเซตเศรษฐกิจ 4 ด้าน หนุนปี’69 เป็นปีแห่งการลงทุน

เอกนิติชี้ไทยต้อง “รีเซตเศรษฐกิจ 4 มิติ” ดันปี 2569 เป็นปีแห่งการลงทุน ฟื้นเสถียรภาพ–หนุน SMEs–ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงาน Go Thailand 2026 – Beyond Survival โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ และจำเป็นต้อง “รีเซตเศรษฐกิจครั้งใหญ่” เพื่อรับมือความท้าทายใหม่ ทั้งด้านโครงสร้าง เศรษฐกิจโลก และสังคมสูงวัย รัฐบาลจึงเตรียมเสนอให้ปี 2569 เป็น “ปีแห่งการลงทุน” พร้อมกำหนดทิศทางการรีเซต 4 ด้านหลัก ครอบคลุมการเติบโต การคลัง สังคม และสิ่งแวดล้อม

เอกนิติกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญภาวะเติบโตต่ำมาเป็นเวลานาน จากเดิมที่เติบโตเฉลี่ยถึง 7% ต่อปี กลับลดลงเหลือเพียง 2–3% ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพึ่งพาการลงทุนในอดีตมากเกินไป ภายหลังวิกฤตปี 2540 สัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีลดลงจากระดับ 40% เหลือเพียง 22% เท่านั้น เขาเปรียบเทียบว่า “ประเทศไทยเหมือนโรงงานเก่าที่ผลิตสินค้าไม่ตรงกับความต้องการของโลก” จึงจำเป็นต้องเร่งลงทุนใหม่เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาการส่งออก และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งหนี้ครัวเรือนและสภาพคล่องของ SMEs

แม้ระบบการเงินของประเทศยังอยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่งจากหนี้เสียต่ำและทุนสำรองสูง แต่เสถียรภาพทางการคลังกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาระงบประมาณช่วงโควิด ซึ่งทำให้หลายสถาบันจัดอันดับแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเครดิต รัฐบาลจึงจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง โดยมีเป้าหมายลดการขาดดุลจาก 4.4% ของจีดีพี ให้ลงต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 พร้อมเร่งชำระคืนหนี้รัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะ ธ.ก.ส. เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งส่งผลให้ S&P ตัดสินใจคงอันดับเครดิตของไทยจากความชัดเจนในทิศทางดังกล่าว

ในด้านสังคม ไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึก โดยกลุ่มรายได้สูงสุด 20% ถือครองรายได้เกินครึ่งของประเทศ ขณะที่กลุ่มรายได้ต่ำสุด 20% มีสัดส่วนเพียง 6% เท่านั้น รัฐบาลจึงเตรียมมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ผ่านการเร่งจ่ายเงินคู่ค้าทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการขยายการใช้งานระบบ PromptBiz นอกจากนี้ยังมีโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อยกระดับทักษะผู้ค้ารายย่อยให้ทำงานออนไลน์ ทำบัญชี และเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้จริง ส่วนแรงงานสูงวัยที่ยังมีศักยภาพจะได้รับการเปิดโอกาสให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานควบคู่กับการดึงบุคลากรคุณภาพสูงจากต่างประเทศมาช่วยเติมเต็มกำลังแรงงานที่ขาดแคลน

สำหรับประเด็นสิ่งแวดล้อม เอกนิติชี้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่เป็นสัญญาณเตือนรุนแรงว่าประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลตั้งคณะทำงานถอดบทเรียนและจัดทำมาตรการรับมือน้ำท่วมถาวร ในขณะเดียวกัน ธุรกิจไทยต้องเตรียมพร้อมต่อกติกาสิ่งแวดล้อมใหม่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น CBAM หรือมาตรฐานสินเชื่อสีเขียว เขาย้ำว่าประเทศไทยมีศักยภาพพลังงานสะอาดสูง ทั้งแดด พื้นที่ และอ่างเก็บน้ำ รัฐบาลจึงเร่งปลดล็อกกฎ Direct PPA และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต ตั้งแต่ Smart Farming อาหารแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ แผงวงจรไฟฟ้า (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง Medical Hub และ Wellness

แม้ปัจจุบันมีโครงการกว่า 460,000 ล้านบาทที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI แต่ยังไม่สามารถเริ่มได้เพราะติดปัญหาด้านสาธารณูปโภค วีซ่า พื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลจึงเตรียมเดินหน้าโมเดล PPP และ Infrastructure Fund เพื่อแก้คอขวดและเร่งให้โครงการเริ่มเดินหน้าจริง

เอกนิติสรุปว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน การสนับสนุน SMEs และการปรับตัวรับเศรษฐกิจสีเขียว เป็น “โอกาสครั้งสำคัญ” ที่ประเทศไทยต้องคว้าไว้ หากต้องการฟื้นเสถียรภาพและกลับสู่เส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนอีกครั้งในอนาคต

L2D Page (128)

2026 ‘เศรษฐกิจอินเดีย’ ผงาด แต่ยังติดบ่วงประเทศยากจน

อินเดียปี 2026: เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ผงาดขึ้นอันดับ 4 ของโลก แต่ยังติดบ่วงความยากจนเชิงโครงสร้าง
อินเดียกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ อีกไม่นานจากนี้โดยเฉพาะในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026 นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอินเดียจะผงาดขึ้นเหนือญี่ปุ่น กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก และที่สำคัญคือจะมีระยะห่างจากเยอรมนี ซึ่งอยู่อันดับ 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความก้าวหน้าครั้งนี้ถือว่าโดดเด่นอย่างยิ่ง หากย้อนกลับไปเมื่อเริ่มต้นศตวรรษ ญี่ปุ่นยังเป็นเศรษฐกิจอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่อินเดียไม่ได้อยู่ในแม้แต่สิบอันดับแรกของโลกด้วยซ้ำ

ในช่วงสองทศวรรษ อินเดียเติบโตทะยานขึ้นแซงหน้าประเทศขนาดเศรษฐกิจกลางสำคัญหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล เม็กซิโก แคนาดา รวมถึงอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 อินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก รองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาและจีนเท่านั้น

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นผ่านการเปลี่ยนแปลงในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ อาคารสูงผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบคมนาคมคึกคัก ตลาดหุ้นและตลาดทุนขยายตัวอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือมีชาวอินเดียหลายร้อยล้านคนสามารถหลุดพ้นจากสถานะ “ยากจนสุดขีด” พร้อมกับชนชั้นกลางที่เติบโตขยายเป็นมากกว่า 400 ล้านคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าอินเดียได้เดินหน้าอย่างจริงจังบนเส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ

แต่แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างน่าตื่นตา สถานะของประเทศในภาพรวมกลับยังคงจมอยู่กับความเป็น “ชาติยากจน” เนื่องจากเกณฑ์การวัดความก้าวหน้าของประเทศไม่ได้มีเพียงขนาดจีดีพีเท่านั้น เมื่อวัดด้วย “จีดีพีต่อหัวประชากร” อินเดียยังคงอยู่ในอันดับต่ำมาก เพราะต้องเฉลี่ยมูลค่าทางเศรษฐกิจออกไปให้กับประชากรจำนวนมหาศาลที่มากกว่าญี่ปุ่นถึงกว่า 11 เท่า ส่งผลให้อินเดียรั้งอันดับที่ 126 ของโลก แม้จะเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 25 ปี แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงล่างของตารางการพัฒนา

ค่าจีดีพีต่อหัวของอินเดียอยู่ที่เพียง 12,132 ดอลลาร์ต่อคน อยู่ในระดับเดียวกับประเทศรายได้ปานกลางล่างอย่างจอร์แดนและอุซเบกิสถาน อีกทั้งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างมีนัยสำคัญ แม้อัตราส่วนประชากรที่ยากจนสุดขีดลดลงจาก 27% เหลือเพียง 5% ภายในสิบปี แต่เมื่อนับเป็นจำนวนจริง อินเดียยังคงมีประชากรมากถึง 75 ล้านคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยรายได้ไม่ถึง 3 ดอลลาร์ต่อวัน และอีกกว่า 267 ล้านคนอยู่ภายใต้เส้นความยากจนสำหรับประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งกำหนดไว้ที่รายได้ไม่ถึง 4.20 ดอลลาร์ต่อวัน ตัวเลขนี้มากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศของเม็กซิโกหลายสิบล้านคน

ปัญหาความยากจนยังเชื่อมโยงกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างในหลายด้าน อินเดียยังอยู่ในอันดับล่างของโลกด้านความหิวโหย โดยอยู่ที่อันดับ 102 จาก 123 ประเทศ และมีคะแนนต่ำในการจัดอันดับด้านสิ่งแวดล้อม การเสรีภาพของสื่อ และดัชนีประชาธิปไตย สะท้อนปัญหาเชิงระบบที่ยังต้องแก้ไขอีกมาก

สถานการณ์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ขนาดของเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างโดดเด่น แต่ความสำเร็จนี้ยังไม่อาจแปรเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกหลายร้อยล้านคนได้อย่างทั่วถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ ขณะที่การยกระดับความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่อินเดียต้องเผชิญในทศวรรษต่อไป

L2D Page (127)

ไขคำตอบ ทำไมน้ำท่วมหาดใหญ่กระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรง GDP วูบเหลือ 1.9% แม้เสียหายเป็นรองปี 54

น้ำท่วมภาคใต้เสียหายกว่า 40,000 ล้านบาทในเดือนเดียว หอการค้าไทยชี้กระทบท่องเที่ยวหนัก ฉุด GDP ปี 2568 เหลือ 1.9%
หอการค้าไทยเปิดเผยผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใน 10 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนกว่า 2.19 ล้านคน หรือประมาณ 798,600 ครัวเรือน ได้รับความเดือดร้อน โดยจังหวัดสงขลาถูกกระทบมากที่สุด คิดเป็นราว 60% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาคือ นครศรีธรรมราช และพัทลุง ทั้งนี้แม้การประเมินความเสียหายที่ชัดเจนยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติม แต่รัฐบาลประเมินเบื้องต้นว่าน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายสูงถึง 500,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอุทกภัยครั้งรุนแรงเป็นอันดับสองของไทย รองจากมหาอุทกภัยปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท

ในกรอบเวลาเพียงหนึ่งเดือน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า ความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000–1,500 ล้านบาทต่อวัน รวมมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.22% ของ GDP โดยเป็นความเสียหายจากระบบเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก ทั้งกิจกรรมทางการค้า การเดินทาง การขนส่ง และการผลิตในหลายธุรกิจท้องถิ่น

ภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูงประมาณ 22,000 ล้านบาท เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงไฮซีซันของจังหวัดท่องเที่ยวในภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ที่ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงพฤศจิกายนถึงมกราคม นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรมจำนวนมากต้องปิดให้บริการชั่วคราว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ขาดรายได้และสภาพคล่องอย่างรุนแรง

ความเสียหายยังขยายไปถึงภาคเกษตรกรรมที่ประเมินไว้ราว 10,000 ล้านบาท และภาคการผลิตและสาธารณูปโภคอีกประมาณ 6,840 ล้านบาท สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมด้วยการย้ายการแข่งขันซีเกมส์จากสงขลามายังกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้จังหวัดสูญเสียโอกาสการสร้างรายได้ การใช้จ่ายของผู้มาเยือนกว่า 5,000 คน และกระทบต่อภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ

จากการสำรวจผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่พบว่า การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน เนื่องจากทรัพย์สินและสต็อกสินค้าเสียหายหนัก ขาดสภาพคล่อง และโครงสร้างพื้นฐานหลายส่วนยังใช้การไม่ได้ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการมากที่สุดคือเงินเยียวยาแบบ “เงินสด” ไม่ใช่มาตรการเพิ่มภาระหนี้สิน จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งอัดฉีดเงินชดเชยโดยตรง ควบคู่กับการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและจัดทีมฟื้นฟูพื้นที่โดยเร็ว

ผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้หอการค้าไทยปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 จาก 2% เหลือ 1.9% โดยแม้การส่งออกคาดว่าจะเติบโต 11.1% และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 6.4% แต่การใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวในไตรมาส 3 และปัญหาน้ำท่วมปลายปี ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาดไว้

สำหรับแนวโน้มปี 2569 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.6% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงด้านสภาพอากาศและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังสูง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us