admin L2D

L2D Page (115)

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เปิดตัวระบบคัดแยกอัตโนมัติแห่งแรกในไทย ที่ Drop-Point ขับเคลื่อนศักยภาพ Smart Logistics

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เดินหน้าปรับโฉม Smart Logistics ด้วยระบบคัดแยกพัสดุอัตโนมัติรุ่นใหม่ในไทย

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย เดินหน้าพัฒนาระบบ Smart Logistics อย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีสายพานคัดแยกพัสดุอัตโนมัติ (Automatic Sorting Conveyor System) รุ่นใหม่ภายในศูนย์คัดแยกหลักในกรุงเทพมหานคร โดยร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำด้านระบบคัดแยกอัตโนมัติ เพื่อยกระดับความเร็ว ความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น

บริษัทถือเป็นผู้ให้บริการขนส่งรายแรกของไทยที่นำเทคโนโลยีคัดแยกระดับอุตสาหกรรมรุ่นใหม่มาใช้งานจริง ระบบสายพานใหม่นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกได้มากกว่าเดิมถึง 100% ภายในช่วงเวลาเท่ากัน โดยใช้เทคโนโลยี AI ผสานกับกล้องอัจฉริยะสำหรับตรวจจับและอ่านรหัสปลายทางแบบอัตโนมัติ พร้อมคัดแยกพัสดุลงช่องที่เพิ่มจำนวนเป็น 60 ช่อง ทำให้กระบวนการคัดแยกมีความเป็นระบบ ลดข้อผิดพลาด และช่วยย่นระยะเวลาในการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน

ระบบดังกล่าวยังรองรับการบันทึกข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ฝ่ายบริหารสามารถติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์ประสิทธิภาพ และวางแผนทรัพยากรได้อย่างแม่นยำมากขึ้น การนำระบบใหม่เข้ามาใช้งานที่ศูนย์คัดแยกเขตวังทองหลางถือเป็นหมุดหมายสำคัญของกลยุทธ์ Smart Logistics ที่บริษัทตั้งใจขยายไปยังศูนย์อื่นทั่วประเทศในปี 2569 เพื่อตอบรับกับปริมาณพัสดุที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับความถูกต้องและความรวดเร็วของกระบวนการคัดแยก แต่ยังช่วยมอบประสบการณ์จัดส่งที่สะดวก ปลอดภัย และเชื่อถือได้ให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยการผสานนวัตกรรมดิจิทัลเข้ากับการบริหารจัดการสมัยใหม่ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ยุคใหม่ พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ไทยอย่างยั่งยืน.

L2D Page (114)

LEO ส่งซิก Q4 ฟื้นตัว รับไฮซีซั่น แย้มปี 69 เล็งร่วมมือพันธมิตร-ขยายเส้นทางขนส่ง

LEO เผยผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ลดลง แต่ธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ยังเติบโตต่อเนื่อง
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยภาพรวมธุรกิจผ่านงาน Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 โดยระบุว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 16.34 ล้านบาท ลดลง 52.27% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.22 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะอยู่ในระดับ 1,024 ล้านบาท แต่บริษัทสามารถรักษาการเติบโตจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นจากแรงหนุนของช่วงไฮซีซัน ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นอีกจุดท้าทายที่สะท้อนศักยภาพด้านกลยุทธ์ของผู้บริหารและองค์กร

ธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ยังคงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต โดยคาดว่ารายได้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 ไปจนถึงปี 2569 จากฐานลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาวของบริษัท

ด้านธุรกิจ LEO Coldbotic ซึ่งเป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ รวมถึงคลังเก็บไวน์ควบคุมอุณหภูมิ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแรง และคาดว่าจะขยายตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/2568 จากปัจจัยฤดูกาลของสินค้าไวน์และจำนวกลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน LEO JITU จะเริ่มรับรู้รายได้จากบริการ Power Bank ภายในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งช่วยเสริมความหลากหลายและความยืดหยุ่นของพอร์ตธุรกิจ

สำหรับแผนปี 2569 บริษัทเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อเพิ่มเส้นทางขนส่งสู่ตลาดศักยภาพในเอเชียและยุโรป โดยบริษัทเชื่อว่าการพัฒนาเครือข่ายขนส่งทางรางจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะเส้นทางจีนตอนใต้และยุโรปผ่านรถไฟสายจีน–ลาว

LEO วางเป้าหมายเดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์และนอนโลจิสติกส์ รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และการดำเนินงานแบบ ESG เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน พันธมิตรในประเทศจีนยังได้ตอบรับเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจใหม่ของบริษัท พร้อมยืนยันความร่วมมือที่เตรียมเริ่มดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของ LEO ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือการขนส่งไปจีนจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปริมาณงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอัตรากำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะธุรกิจที่ขยายตัว

บริษัทมีแผนขยายธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดนและการขนส่งสินค้าระหว่างไทย–จีน เพื่อรองรับความต้องการจากกลุ่มอุตสาหกรรมการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทในช่วงปีต่อไป

L2D Page (113)

ครม.ไฟเขียว ลดค่าครองชีพด้านคมนาคม ไฟเขียวรถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน เริ่ม 1 ธ.ค. 2568 - 30 พ.ย. 2569

ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทาง ด้วยการกำหนดค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย 40 บาทต่อวัน สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงทั้งสองเส้นทาง คือ ช่วงบางซื่อ–รังสิต และบางซื่อ–ตลิ่งชัน รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–คลองบางไผ่ โดยจะเริ่มใช้มาตรการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2569 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องหลังจากมาตรการค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสายสิ้นสุดลง

มาตรการนี้กำหนดให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการในอัตราไม่เกิน 40 บาทต่อวัน หากเดินทางในระยะทางที่มีค่าโดยสารต่ำกว่า 40 บาท จะคิดตามระยะทางจริง กลุ่มนักเรียน นักศึกษาจะจ่ายไม่เกิน 30 บาทต่อวัน ส่วนผู้สูงอายุและเด็กที่มีความสูงเกิน 90 เซนติเมตรแต่ไม่เกิน 120 เซนติเมตร ชำระครึ่งหนึ่งของค่าโดยสารปกติต่อเที่ยว ขณะที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้สิทธิจากวงเงิน 750 บาทต่อเดือนในการชำระค่าเดินทาง กลุ่มผู้พิการและเด็กที่มีความสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตรจะได้รับสิทธิเดินทางฟรี รัฐยังได้กำหนดให้ใช้บัตร EMV Contactless Card เป็นบัตรโดยสารสำหรับรองรับมาตรการเหมาจ่ายรายวันนี้

กระทรวงคมนาคมประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมีรายได้ลดลง และจำเป็นต้องใช้งบประมาณชดเชยตามจริงประมาณ 142.02 ล้านบาท ส่วนรถไฟฟ้าสายสีม่วง รฟม. จะรับภาระชดเชยประมาณ 30 ล้านบาทจากรายได้ของโครงการเอง โดย ครม. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมติดตามประเมินผลมาตรการเป็นรายปี ทั้งด้านปริมาณผู้โดยสาร รายได้ที่ลดลง และประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการต่อเนื่องในอนาคต

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นว่า มาตรการใหม่นี้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิมที่ผู้โดยสารสามารถจ่ายไม่เกิน 20 บาทต่อเที่ยวโดยไม่มีข้อกำหนด มาเป็นต้องใช้บัตรโดยสารที่กำหนดจึงจะได้รับสิทธิ์เหมาจ่ายรายวัน อาจทำให้เกิดความสับสนในช่วงเริ่มต้น จึงจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจรูปแบบ ค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขการใช้สิทธิก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้.

L2D Page (112)

ผู้เชี่ยวชาญภัยพิบัติ คาด "น้ำท่วมหาดใหญ่" พื้นที่เศรษฐกิจอาจจมไปถึงกลาง ธ.ค.

ไทยเร่งขยายข้อตกลงการค้าเสรี 3 ฉบับใหม่ กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งตลาดสหรัฐ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 52,109 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 28.6% จากปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20.5% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง ส่งออกมูลค่า 30,667 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.1% หรือคิดเป็น 12.1% ของยอดส่งออกไทย แม้ภาพรวมการส่งออกจะขยายตัว แต่ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอีก 19% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้ากลยุทธ์กระจายตลาดอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่มากเกินไป

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่ากลยุทธ์ส่งออกของไทยต้องเปลี่ยนผ่านอย่างเด็ดขาดไปสู่แนวคิด “Balance–Inclusive–Diversify” ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาตลาดเดิม การเจาะตลาดใหม่ และการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างเต็มที่

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า นโยบายขยายตลาดใหม่ถูกจัดเป็นหนึ่งใน “Quick Big Win” ที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีภารกิจสำคัญคือการเร่งผลักดันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) 3 ฉบับให้มีผลในหนึ่งปี เพื่อเพิ่มการค้า มูลค่าการลงทุน และจีดีพีของประเทศในระยะยาว ได้แก่ FTA ไทย–EFTA ที่ตั้งเป้านำเสนอรัฐสภาในเดือนมกราคม 2569 FTA ไทย–สหภาพยุโรป ที่อยู่ระหว่างการปิดประเด็นที่ยังค้างคา และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่มีกำหนดสรุปประเด็นสำคัญภายในเดือนธันวาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า ความสำเร็จของ FTA เหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพิ่ม 8,750 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนแรก และมากกว่า 139,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี

ควบคู่กับการเร่งเจรจา FTA กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าขยายตลาดใหม่ผ่านโครงการ “Special Task Force: STF” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดศักยภาพใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจีนตะวันตก เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง และสิบสองปันนา สำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง ตลาดอาเซียนอย่างเวียดนาม สำหรับสินค้าแม่และเด็ก รวมถึงตลาดอินเดีย โดยเฉพาะเมืองมุมไบ สำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คาดว่าจะทำให้ไทยเพิ่มมูลค่าการค้าได้ไม่น้อยกว่า 190 ล้านบาทในระยะแรก และตั้งเป้ายอดการส่งออกไปตลาดใหม่รวมไม่น้อยกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตอย่างน้อย 9% จากปีที่แล้ว

สำหรับปี 2569 รัฐบาลเตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมในยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงเอเชียใต้และรัสเซีย พร้อมวางแผนส่งออกสินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละภูมิภาค เช่น สินค้าอุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรสำหรับตลาดแอฟริกา สินค้าอาหารและแฟชั่นสำหรับตลาดยุโรป โดยจะใช้ประโยชน์จาก FTA ใหม่และเครือข่ายพันธมิตรการค้าอย่างเต็มที่

ด้านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นพ้องกับรัฐบาลว่า การขยายตลาดใหม่เป็นภารกิจสำคัญของประเทศในปี 2568–2569 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากมาตรการกีดกันทางการค้า สศช. ยังเสนอให้เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งเตรียมศึกษาตลาดศักยภาพใหม่ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต การขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า และการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

แม้ว่าสหรัฐจะยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย แต่รัฐบาลยืนยันว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแรงส่งของการค้าไทย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจโดยการขยายตลาด กระจายความเสี่ยง และเพิ่มพลังแข่งขันของการส่งออกไทยให้ยั่งยืนในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us