admin L2D

L2D Page (154)

พาณิชย์ ไทย-ลาว ถกแผนพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ดันการค้า แตะ 11,000 ล้านดอลลาร์ ปี 2570

พาณิชย์ไทย–ลาว เร่งขยายความร่วมมือเศรษฐกิจ ดันการค้าสองฝ่ายแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2570

กระทรวงพาณิชย์ของไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เดินหน้ากระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า หวังยกระดับบทบาทการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ในลุ่มน้ำโขง พร้อมผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้บรรลุเป้าหมาย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยอาศัยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าชายแดน และเส้นทางรถไฟลาว–จีน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแผนความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ไทย–ลาว ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว เป็นประธานฝ่ายลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีน

สาระสำคัญของการหารือครั้งนี้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เส้นทางรถไฟลาว–จีน โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกให้สินค้าจากไทยสามารถเชื่อมต่อสู่ระบบรางได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายรถ พร้อมกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขนส่งที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Land Linked ของ สปป.ลาว และก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการจัดทำแผนงานความร่วมมือระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2569–2573 เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานอย่างเป็นระบบและมีกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูกลไกความร่วมมือด้านการเกษตร การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ภายใต้แนวคิดการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผา เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ข้ามพรมแดน

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิตินำเข้าและส่งออกของสินค้าสำคัญ เพื่อใช้ในการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ทิศทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่าย สปป.ลาว ได้ยืนยันว่าการนำเข้าจากไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ภายในประเทศเท่านั้น และไม่มีการส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

การประชุมครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยมีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนของไทย และสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว เข้าร่วมนำเสนอแนวทางความร่วมมือ พร้อมเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนและคณะอนุกรรมการในสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการสร้างแบรนด์ การท่องเที่ยว นโยบายและกฎระเบียบ การพัฒนาดิจิทัลและ AI รวมถึงการเงิน เพื่อผลักดันความร่วมมืออย่างต่อเนื่องควบคู่กับการประชุมระดับนโยบายของภาครัฐ

ปัจจุบัน สปป.ลาว เป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 18 ของโลก โดยในปี 2567 การค้ารวมมีมูลค่ากว่า 8,283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมขยายตัวเกือบร้อยละ 19 สะท้อนศักยภาพและโอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและลาวในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (153)

ขบ.-กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน"ติวเข้มผู้ขับรถขนส่งทั่วไทย ยกมาตรฐานแก้ปัญหาขาดแคลน

ขนส่งฯ ผนึกแรงงาน ปั้นนักขับมืออาชีพ ยกระดับความปลอดภัย แก้ขาดแคลนแรงงานโลจิสติกส์

กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เดินหน้ายกระดับศักยภาพผู้ขับรถขนส่งทั่วประเทศ ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน ควบคู่การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคโลจิสติกส์ และเสริมความสามารถในการแข่งขันของระบบขนส่งไทยในระยะยาว

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และนายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการขนส่ง ได้ร่วมเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ขับรถขนส่งเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนน และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อผลิตพนักงานขับรถคุณภาพป้อนเข้าสู่ระบบขนส่งของประเทศอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

นายสรพงศ์กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ขับรถทั้งรถโดยสารและรถบรรทุก ให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่กับการปลูกฝังพฤติกรรมการขับขี่อย่างปลอดภัย เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ และแก้ปัญหาการขาดแคลนพนักงานขับรถในภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ

เขาระบุว่า การพัฒนาผู้ขับรถที่มีคุณภาพต้องครอบคลุมทั้งทักษะวิชาชีพ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอาชีพพนักงานขับรถขนส่งของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการส่งเสริมระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก หรือ Q Mark รวมถึงการยกระดับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางบก

ด้านนายสมาสภ์กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้ความสำคัญกับการยกระดับแรงงานไทยให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของตลาด โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมุ่งพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานขับรถให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและยานยนต์รุ่นใหม่ เพื่อให้แรงงานขับรถมีทักษะที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์อย่างแท้จริง

กระทรวงแรงงานยังพร้อมสนับสนุนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสำหรับพนักงานขับรถทั้งรถบรรทุกและรถโดยสาร เพื่อยกระดับคุณภาพวิชาชีพ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสความก้าวหน้าในสายอาชีพของผู้ขับรถอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานคุณภาพในภาคการขนส่ง และเตรียมความพร้อมบุคลากรรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต

L2D Page (152)

คาดเศรษฐกิจปี 69 โตต่ำรอบ 30 ปี

SCB EIC เตือนเศรษฐกิจไทยปี 2569 เสี่ยงโตต่ำสุดในรอบ 30 ปี นอกช่วงวิกฤติ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง หลังปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 ลงเหลือ 2% จากเดิม 2.1% ขณะที่ภาพเศรษฐกิจในปี 2569 น่าเป็นห่วงมากกว่า โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตต่ำกว่า 2% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี หากไม่นับรวมช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า แม้ปี 2569 จะไม่ใช่ปีแห่งวิกฤต แต่เศรษฐกิจไทยกลับมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำผิดปกติ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และไม่ควรปล่อยให้การเติบโตระดับต่ำเช่นนี้กลายเป็นภาวะปกติใหม่ของประเทศ

แรงกดดันสำคัญมาจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดจากสงครามการค้า และผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันการแข่งขันจากต่างประเทศรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่ส่งเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ส่งผลต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยโดยตรง

ในประเทศเอง เศรษฐกิจยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ทั้งความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งกดดันกำลังซื้อและการลงทุน จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติแม้จะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ภาครัฐยังเผชิญข้อจำกัดด้านการคลังที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน

SCB EIC ประเมินว่า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ระดับ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและช่วยบรรเทาแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงทางการเมืองยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยหากมีการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด จะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ต่ำกว่าปกติ แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจช่วยลดความล่าช้าในการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2570 หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้งบประมาณล่าช้าเพียง 1–2 เดือน

อย่างไรก็ดี หากการเลือกตั้งหรือการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าออกไป ความเสี่ยงที่งบประมาณปี 2570 จะล่าช้าเกินกว่า 3 เดือนจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐถูกจำกัดอยู่แล้วจากแรงกดดันด้านการปฏิรูปการคลัง เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมระดับหนี้สาธารณะไม่ให้เกิน 70% ของ GDP

นายยรรยงยังกล่าวเพิ่มเติมว่า SCB EIC คาดหวังให้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ คลี่คลายลงโดยเร็ว เพื่อเปิดทางให้เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เตรียมจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐขาดความต่อเนื่อง การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้า หรือเสียเปรียบมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต

L2D Page (151)

รฟท. ลุยที่ดินเชิงพาณิชย์ 'สถานีกลางบางซื่อ' เริ่มสร้างปี 69

รฟท. เร่งปั้นที่ดินบางซื่อ สู่ศูนย์พาณิชย์ใหม่ของประเทศ ประเดิมสร้างอาคารคมนาคมปี 2569

การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์รอบสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ หรือย่านบางซื่ออย่างเป็นรูปธรรม โดยเตรียมเริ่มโครงการนำร่องในปีงบประมาณ 2569 ด้วยการพัฒนาที่ดินแปลง E ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นที่ตั้งของอาคารกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด MOT Smart Building ใช้งบลงทุนรวม 4,500 ล้านบาท และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2571

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการผู้ว่าฯ รฟท. เปิดเผยว่า รฟท. ได้อนุมัติให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA เช่าที่ดินขนาดใหญ่จำนวน 10 แปลงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาทต่อแปลง เพื่อบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเพิ่มรายได้ระยะยาวให้กับองค์กร โดยขณะนี้ SRTA อยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาภาพรวม แต่ยังไม่ได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและ รฟท.

ในระยะแรก ที่ดินย่านสถานีกลางบางซื่อถือเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมมากที่สุด โดยเฉพาะแปลง E ซึ่งถูกเลือกให้เป็นโครงการแรกของแผนพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ เนื่องจากได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐแล้ว และสามารถเริ่มก่อสร้างได้ทันทีในปีงบประมาณหน้า

ที่ดินแปลง E ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพื้นที่พัฒนาบางซื่อ ติดกับสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และใกล้สำนักงานใหญ่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 138 ไร่ โดยมีความชัดเจนแล้วว่าส่วนแปลง E1 จะถูกพัฒนาเป็นอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ รองรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 1,200 คน

อาคารดังกล่าวถูกออกแบบให้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน มีพื้นที่ใช้สอยสำนักงานหลักและทางเดินรวมประมาณ 156,000 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนกลางราว 30,000 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถประมาณ 62,000 ตารางเมตร รองรับรถยนต์ได้กว่า 1,500 คัน เพื่อตอบโจทย์การเป็นศูนย์ราชการด้านคมนาคมในอนาคต

สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบงบประมาณตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2571 ด้วยวงเงินรวม 4,500 ล้านบาท เพื่อทดแทนอาคารสำนักงานเดิมบนถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และควรอนุรักษ์ไว้ ไม่เหมาะแก่การขยายหรือรื้อปรับปรุงใหม่

รฟท. ประเมินว่า ที่ดินทั้ง 10 แปลงที่มอบหมายให้ SRTA บริหาร มีมูลค่าทรัพย์สินตามราคาประเมินธนารักษ์รวมกว่า 27,500 ล้านบาท และหากพัฒนาเต็มศักยภาพ จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้รวมได้มากกว่า 100,000 ล้านบาทในระยะยาว

ในภาพรวม การพัฒนาพื้นที่ย่านบางซื่อไม่เพียงเป็นการเพิ่มรายได้ให้ รฟท. แต่ยังสอดรับกับแผนยกระดับพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมและเศรษฐกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างเมืองและระบบขนส่งของประเทศในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us