admin L2D

20250429-02

คมนาคมเบรกแผนสร้างสนามบินมุกดาหาร เล็งใช้สนามบินลาว “สะหวันนะเขต” เชื่อมต่อแทน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ได้แก่ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ว่า กระทรวงคมนาคมได้พิจารณาผลการศึกษาการก่อสร้างท่าอากาศยานมุกดาหารของกรมท่าอากาศยานแล้ว พบว่าโครงการดังกล่าวไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ จึงยังไม่มีนโยบายดำเนินการก่อสร้างในขณะนี้

แม้มุกดาหารจะมีศักยภาพในการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ แต่การลงทุนสร้างสนามบินใหม่เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะมีต้นทุนสูงและต้องอาศัยผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งในกรณีของมุกดาหาร กระทรวงมองว่า การใช้สนามบินที่มีอยู่ใกล้เคียง เช่น ท่าอากาศยานสกลนคร น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในภาพรวม แม้ว่าการเดินทางจากสนามบินสกลนครมายังมุกดาหารจะใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก็ตาม

ทางออกที่น่าสนใจและกำลังอยู่ระหว่างการผลักดันคือ การประสานงานกับ สปป.ลาว เพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้สนามบินสะหวันนะเขต ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง โดยห่างจากตัวเมืองมุกดาหารเพียงราว 10 นาทีเท่านั้น หากสามารถตกลงใช้สนามบินดังกล่าวเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างประเทศได้ จะช่วยลดทั้งระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด

นายสุริยะระบุเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนจัดให้มีรถชัตเติลบัสเชื่อมโยงระหว่างสนามบินสะหวันนะเขตกับฝั่งไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางข้ามพรมแดน และยังอยู่ระหว่างการหารือกับทางการลาว เพื่อขอยกเว้นขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับผู้โดยสารชาวไทย ซึ่งหากเจรจาสำเร็จ จะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบความร่วมมือระหว่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองฝั่งอย่างแท้จริง โดยคาดว่าทั้งหมดจะได้ข้อสรุปภายในปี 2569

การเดินหน้าความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างสนามบินใหม่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนหลายพันล้านบาทเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ค่าตั๋วโดยสารมีราคาถูกลง และเปิดโอกาสให้สายการบินราคาประหยัดสามารถเข้ามาเปิดเส้นทางบินได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการเดินทางของทั้งสองประเทศในระยะยาว

นายสุริยะกล่าวปิดท้ายว่า แนวทางนี้จะเป็นการยกระดับการเชื่อมโยงภูมิภาคในระดับประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มค่าและประโยชน์ร่วมอย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา - matichon

20250429-01

กนอ. มั่นใจไทยยังแข็งแกร่ง พร้อมรับมือดีลการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วง 90 วัน

ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก การเคลื่อนไหวด้านนโยบายการคลังของสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งแรงกระเพื่อมต่อแนวโน้มการลงทุนระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีแนวคิดการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สู่ระดับ 36% ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค

นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และผู้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าขณะนี้ ยังไม่พบสัญญาณที่ชัดเจนของการถอนการลงทุนหรือการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย แม้จะมีบางกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างประเมินทางเลือก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในภาวะที่ตลาดโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยยังไม่ได้เจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 90 วันที่ประกาศไว้

เขาชี้ให้เห็นว่า ความกังวลของหลายหน่วยงานที่ประเมินว่าการลงทุนในไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็นการตั้งสมมติฐานเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น คล้ายกับแพทย์ที่ต้องเตือนญาติคนไข้ให้พร้อมสำหรับทุกความเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้เกิดความประมาท

แม้การจับตาสถานการณ์ในระยะสั้นจะมีความสำคัญ แต่ในเชิงโครงสร้างประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐาน ระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงคล่องตัว แรงงานฝีมือที่มีคุณภาพ และตำแหน่งที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นกลางในด้านภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแต้มต่อที่ช่วยให้ไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

ในส่วนของ กนอ. เอง ได้มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเพื่อสนับสนุนการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเร่งเดินหน้ามาตรการเชิงรุกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของนิคมอุตสาหกรรมในหลายด้าน ทั้งการขยายตลาดใหม่ การพัฒนาคุณภาพบริการ และการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

นายธนวัฒน์ย้ำว่า การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมเป็นการตัดสินใจระยะยาว ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการจะถอนตัวได้ง่าย ๆ และขณะที่การเจรจายังอยู่ในช่วง 90 วัน กนอ. ก็พร้อมทำหน้าที่เป็นแนวหลังทางข้อมูลเพื่อเสริมทัพทีมเจรจา รวมถึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจากทั่วโลก

จากกรณีตัวอย่างของประเทศอย่างญี่ปุ่นที่สามารถต่อรองและจัดการกับประเด็นด้านภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไทยเองสามารถใช้เป็นบทเรียนสำคัญในการวางกลยุทธ์ นายธนวัฒน์ยังมองว่า ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ไทยยังคงมีเวลาในการตั้งรับ เตรียมพร้อม และวางแผนอย่างรอบคอบ

ท้ายที่สุด เขาเน้นว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค พร้อมย้ำว่า ความมั่นคงของนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับภาษี แต่รวมถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพ ความโปร่งใส และศักยภาพในระยะยาวของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ กนอ. มุ่งมั่นจะรักษาและผลักดันต่อไป

ที่มา - bangkokbiznews

20250428-04

พาณิชย์ชี้ "ปีทองขนส่งอากาศไทย" ลุ้นกำไรทะลุ 3.66 หมื่นล้านเหรียญในปี 2568

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2568 ถือเป็น "ปีทอง" ของธุรกิจการขนส่งทางอากาศของไทยอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ผลประกอบการและผลกำไรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศโลกในปีนี้จะมีรายได้ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำกำไรรวมได้ถึง 3.66 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารทั่วโลกจะเกินกว่า 5.2 พันล้านคน และปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศจะพุ่งสูงถึง 72.5 ล้านตัน สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนโอกาสอันสดใสที่ธุรกิจการขนส่งทางอากาศไทยจะสามารถเติบโตเคียงข้างอุตสาหกรรมโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

ในประเทศไทย ธุรกิจการขนส่งทางอากาศยังคงมีผู้เล่นในตลาดไม่มากนัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและต้องรักษามาตรฐานการบริการให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบินสากล ข้อมูลพบว่าในช่วงปี 2565 มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่เพียง 4 ราย ก่อนจะขยับเพิ่มเป็น 9 รายในปี 2566 แล้วลดลงเหลือ 7 รายในปี 2567 ส่วนในปี 2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม มีการจัดตั้งใหม่เพียง 1 รายเท่านั้น ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7,146 ล้านบาท คิดเป็น 13.36% ของการลงทุนทั้งหมด โดยนักลงทุนหลักมาจากจีน สวิตเซอร์แลนด์ และมาเลเซีย

เมื่อพิจารณาผลประกอบการย้อนหลังสามปี (2564-2566) ธุรกิจขนส่งทางอากาศไทยมีผลประกอบการเฉลี่ยปีละ 268,962 ล้านบาท และทำกำไรเฉลี่ยปีละ 56,424 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแรงหลังจากวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบหนักในปี 2563 โดยเฉพาะในปี 2566 ที่ผลประกอบการรวมพุ่งทะยานขึ้นถึง 371,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 51% จากปีก่อนหน้า และทำกำไรได้สูงถึง 73,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 185% จากปี 2565 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการเติบโต นอกจากการฟื้นตัวของการเดินทางและการเปิดประเทศแล้ว ยังมีแรงผลักดันจากตลาด e-Commerce ที่ส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางอากาศได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งทางอากาศจำนวน 141 ราย รวมทุนจดทะเบียนกว่า 53,498 ล้านบาท ส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัด รองลงมาคือห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด โดยบริษัทมหาชนแม้จะมีจำนวนน้อยที่สุด แต่มีสัดส่วนทุนจดทะเบียนสูงที่สุดถึงกว่า 80% ของมูลค่ารวม

จากข้อมูลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พบว่าในปี 2567 ไทยมีจำนวนผู้โดยสารเดินทางทางอากาศถึง 141 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า ขณะที่จำนวนเที่ยวบินอยู่ที่ 886,438 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12% และปริมาณขนส่งสินค้าทางอากาศเพิ่มขึ้นกว่า 22% อยู่ที่ 1.51 ล้านตัน ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโต ได้แก่ การเปิดประเทศ การยกเว้นวีซ่าในหลายประเทศ และการขยายตัวของตลาด e-Commerce ที่ยังคงแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ธุรกิจการขนส่งทางอากาศไม่ได้มีความสำคัญแค่ในเชิงการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอีกด้วย ประเทศไทยตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค และเลื่อนอันดับในตลาดการบินโลกจากอันดับ 19 ในปัจจุบัน ขึ้นสู่อันดับที่ 9 ภายในปี 2576 ซึ่งต้องอาศัยการเสริมความแข็งแกร่งในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการสนามบิน การเพิ่มศักยภาพสายการบินสัญชาติไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างฮับการบินที่เน้น ESG และการออกแบบระบบการบินที่ยืดหยุ่น รองรับความเสี่ยงจากปัญหา Disruption ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งภาครัฐและเอกชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้ ภาครัฐต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งสนามบิน ทางวิ่ง และระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ ขณะที่ภาคเอกชนต้องยกระดับบริการ เพิ่มความแข็งแกร่งของสายการบินสัญชาติไทย และขยายเครือข่ายเที่ยวบินตรงให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นและการวางกลยุทธ์ระยะยาวที่ชัดเจนจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค และรักษาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคต

ที่มา - kaohoon

20250428-03

BYD เปิดตัว "BYD Shenzhen" เรือขนส่งรถยนต์ลำใหม่ ใหญ่สุดในโลก

BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่รายใหญ่จากจีน สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว "BYD Shenzhen" เรือขนส่งรถยนต์ลำล่าสุดที่กลายเป็นเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของความสามารถในการรองรับรถยนต์ โดยเรือลำนี้มีความยาว 219.9 เมตร กว้าง 37.7 เมตร และมีดาดฟ้าทั้งหมด 16 ชั้น สามารถบรรทุกรถยนต์ได้ถึง 9,200 คัน พร้อมทำความเร็วในการเดินเรือได้ถึง 19 นอต

เรือ BYD Shenzhen สร้างขึ้นโดยอู่ต่อเรือในเครือ China Merchants Group และได้รับการส่งมอบอย่างเป็นทางการที่เมืองยี่เจิ้ง มณฑลเจียงซู ประเทศจีน นอกจากขนาดมหึมาแล้ว ความพิเศษของเรือลำนี้ยังอยู่ที่การใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดแบบเชื้อเพลิงคู่ (LNG) ติดตั้งระบบประหยัดพลังงาน สีเคลือบป้องกันการลากเกาะใต้น้ำ และนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ BYD ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับโลก

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 BYD สามารถส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ ทั้งรถไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV), รถไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) และรถเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (FCEV) ไปยังตลาดต่างประเทศได้มากกว่า 25,000 คัน โดยปัจจุบัน BYD มีฐานการผลิตกระจายอยู่ในกว่า 100 ประเทศและภูมิภาค รวมถึงกว่า 400 เมืองทั่วโลก การนำ BYD Shenzhen เข้าสู่การใช้งานจึงถูกคาดหมายว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ลดต้นทุนการขนส่ง ตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น

นอกจาก BYD Shenzhen แล้ว บริษัทเตรียมเสริมศักยภาพกองเรือด้วยเรือลำใหม่อีกสองลำ ได้แก่ BYD Changsha ซึ่งมีกำลังบรรทุกเทียบเท่า 9,200 คัน และกำลังจะเริ่มดำเนินการเร็วๆ นี้ รวมถึง BYD Xi'an ที่ได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ BYD ได้เริ่มต้นยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของตนเองด้วยการเปิดตัวเรือ BYD Explorer No.1 ซึ่งเป็นเรือลำแรกที่ให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2024 ผ่านการเช่าเหมาลำ โดยสามารถรองรับรถยนต์ได้ 7,000 คัน ตามมาด้วย BYD Hefei ซึ่งเป็นเรือลำแรกที่บริษัทเป็นเจ้าของเต็มรูปแบบ สร้างเสร็จเมื่อปลายเดือนกันยายน 2024 และเริ่มเดินทางไปยุโรปในต้นปี 2025 พร้อมขนส่งรถยนต์พลังงานใหม่เกือบ 5,000 คัน และต่อด้วย BYD Changzhou เรือลำที่สองที่ตั้งชื่อตามเมืองฐานการผลิตหลักของบริษัท รองรับรถได้ 7,000 คัน และเริ่มให้บริการจริงในเดือนธันวาคม 2024

การขยายกองเรือขนส่งในครั้งนี้ตอกย้ำความตั้งใจของ BYD ในการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ระดับโลกที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ และรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในยุคสมัยที่พลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจสำคัญของอนาคต

ที่มาข่าว - tnnthailand

ที่มาภาพ - https://cnevpost.com/2025/04/22/byd-shenzhen-car-carrier-sets-sail

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us