admin L2D

news-20250123-03

‘คมนาคม’ เผยตรุษจีนนี้แอร์ไลน์แห่เข้าไทยพุ่ง 19,305 เที่ยวบิน

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เทศกาลตรุษจีน เป็นช่วงที่ประชาชนจะเดินทางท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งได้รับรายงานคาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินจาก บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) พบว่าปริมาณเที่ยวบินช่วงตรุษจีนระหว่างวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2568 (7 วัน) จะมีเที่ยวบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวม 19,305 เที่ยวบิน เฉลี่ย 2,758 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 14%

ในขณะที่เที่ยวบินระหว่างประเทศไทย - จีน (7 วัน) รวม 2,718 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 48% โดยเป็นเที่ยวบินที่ทำการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1,487 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานดอนเมือง 549 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานภูเก็ต 520 เที่ยวบิน และท่าอากาศยานเชียงใหม่ 155 เที่ยวบิน จึงได้กำชับให้วิทยุการบินฯ เตรียมพร้อมรองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเดินทางมาประเทศไทย

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เที่ยวบินระหว่างประเทศไทย – จีน เป็นเที่ยวบินที่มีสัดส่วนสูงสุด จากปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 นี้ เที่ยวบินจีนเฉลี่ย 269 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินจากประเทศอื่นที่มีนักท่องเที่ยวเชื้อสายจีน เช่น สิงคโปร์ 99 เที่ยวบินต่อวัน มาเลเซีย 92 เที่ยวบินต่อวัน ฮ่องกง 75 เที่ยวบินต่อวัน ไต้หวัน 52 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งอยู่ในประเทศ 10 อันดับแรกที่มีเที่ยวบินมายังประเทศไทยมากที่สุด

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250123-02

'ADB' อัดฉีด 350 ล้านดอลลาร์ หนุนโลจิสติกส์อินเดีย ก้าวสู่ศูนย์กลางการค้าโลก

การขนส่งและโลจิสติกส์เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจในทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีเป้าหมายจะเป็นศูนย์กลางการค้าโลก ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้อนุมัติเงินกู้เชิงนโยบายจำนวน 350 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปโลจิสติกส์ในระยะที่สองของอินเดีย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงระบบซัพพลายเชน การลดต้นทุน และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับสากล

ADB เน้นย้ำว่า การปฏิรูปโลจิสติกส์นี้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงอุปทานแบบห่วงโซ่ของอินเดียผ่านการพัฒนานโยบาย การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบโลจิสติกส์ โดยปัจจุบันมูลค่าส่งออกสินค้าของอินเดียได้เพิ่มขึ้นจาก 48.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2000 เป็น 467.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าส่งออกสินค้าและบริการรวมให้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่งการได้รับการสนับสนุนจาก ADB จะช่วยให้อินเดียบรรลุเป้าหมายนี้ผ่านการลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มผลิตภาพ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ระบบโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างครบวงจร ยังเพิ่มโอกาสการจ้างงานและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงช่วยยกระดับห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก โดยนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น แผนแม่บท PM Gati Shakti ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยมุ่งเน้นการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ทั้งถนน รถไฟ สนามบิน และท่าเรือเข้าด้วยกัน พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ GIS-based platform เพื่อวางแผนและติดตามความคืบหน้า โครงการภายใต้แผนนี้ประกอบด้วยการพัฒนาทางหลวงกว่า 200,000 กิโลเมตร

โครงการรถไฟสำหรับขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ และ นโยบายโลจิสติกส์แห่งชาติ (National Logistics Policy) ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งลดต้นทุนโลจิสติกส์จาก 13-14% ของ GDP ให้ต่ำกว่า 10% เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก โครงการสำคัญภายใต้นโยบายนี้รวมถึงการพัฒนา Unified Logistics Interface Platform (ULIP) ซึ่งช่วยรวมข้อมูลจากผู้ให้บริการโลจิสติกส์หลากหลายภาคส่วน และส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) เป็นต้น

ข้อคิดเห็นจาก สคต. กรุงนิวเดลี

การเข้ามามีบทบาทของ ADB ในการอนุมัติเงินกู้ในรูปแบบนโยบายจำนวน 350 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนภาคโลจิสติกส์ของอินเดียเพื่อส่งเสริมเป้าหมายการส่งออกของประเทศอินเดีย และเงินทุนดังกล่าวจะใช้เสริมสร้างการปฏิรูปในระยะที่สอง ภายใต้แผนการปรับปรุงโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมของอินเดีย นั้นจะช่วยส่งเสริมศักยภาพทางภาคโลจิสติกส์ของอินเดียอย่างมีนัยยะ ส่งผลต่อต้นทุนทางการขนส่งที่จะปรับตัวลดลง ความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในห่วงโช่อุปทานของอินเดียสู่ระดับสูง รวมทั้งทำให้อินเดียเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียใต้และรวมไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โครงการทางหลวงไตรภาคี อินเดีย-เมียนมาร์-ไทย

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของอินเดียในการเชื่อมโยงมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันตกกับมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก “ไทย” ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางมีศักยภาพที่จะเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคและขยายความร่วมมือด้านโลจิสติกส์กับอินเดีย การปรับปรุงโลจิสติกส์ของอินเดียจะสามารถช่วยให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดในเอเชียใต้ได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกด้วย

ที่มา - ditp

news-20250122-01

คมนาคมส่งมอบ 'สนามบินตาก' ให้กรมฝนหลวงฯ ใช้เป็นฐานบัญชาการแก้มลพิษ - อุบัติภัย

วันนี้ (22 ม.ค.) นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม จะร่วมพิธีส่งมอบ - รับมอบความรับผิดชอบการบริหารท่าอากาศยานตาก จากกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ให้กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร  ที่ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2567 เห็นชอบให้ ทย.มอบความรับผิดชอบการบริหารท่าอากาศยานตากให้กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตามความประสงค์ของกรมฝนหลวงฯ ที่จะใช้เป็นศูนย์ฝนหลวงภาคเหนือ และเป็นฐานบัญชาการในการทำภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตรทั้งระบบ เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง PM 2.5 โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วย

ขณะนี้ท่าอากาศยานตาก ไม่ได้ให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ และที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯ จะใช้พื้นที่สำหรับปฏิบัติภารกิจฝนหลวงเป็นประจำอยู่แล้ว จึงเป็นสนามบินที่แทบจะไม่สร้างรายได้ให้ท่าอากาศยานตาก และ ทย. เลย ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่ท่าอากาศยานตาก 3 ราย จะไปปฏิบัติงานท่าอากาศยานอื่นๆ ที่ใกล้เคียงแทน 

สำหรับการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เข้าบริหารจัดการท่าอากาศยานของ ทย. ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานกระบี่, บุรีรัมย์ และอุดรธานี นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนของการจัดทำข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม.

ปัจจุบัน ทย. มีท่าอากาศยานอยู่ภายใต้การกำกับดูแล 29 แห่ง ทำให้ลดเหลือ 28 แห่ง การมอบสนามบินตากให้กรมฝนหลวงฯ จะทำให้การพัฒนาหรือการดำเนินงานทุกด้านคล่องตัวมากขึ้น ไม่ติดข้อจำกัดทางระบบราชการเหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งภายใน 10 ปีนี้กระทรวงคมนาคมมีนโยบายโอนท่าอากาศยานทั้ง 28 แห่งให้ ทอท.บริหารแทน ทย. มีหน้าที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสนามบินเท่านั้น

ที่มา - dailynews

news-20250107-02

นักวิชาการคาด 'นโยบายทรัมป์' กระทบส่งออกไทย ฉุด GDP โตต่ำสุด 2.5%

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเต็มตัวแล้วนั้น ประเมินผลต่อประเทศไทยมีทั้งแง่บวกและลบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยคือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งจะเน้นเรื่องการขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัด รวมถึงป้องกันภัยจากการขยายตัวของจีน ผลกระทบต่อประเทศไทยจึงเป็นเรื่องการเก็บภาษีทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรู ปะมาณ 10-20% และเล่นงานประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงการเก็บภาษีสินค้าจีน 60% ขึ้นไป โดยมาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับไทยในส่วนของการขยายตัวการค้าและการส่งออกของไทย ที่เติบโตน้อยลง รวมถึงการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่เน้นเร่งเศรษฐกิจในประเทศผ่านการท่องเที่ยวมากขึ้น

การค้าโลกที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจะโตได้ที่ 3.2% ในปี 2568 นี้ จะปรับตัวลดลงจากเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะติดลบทั้งหมด เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เล่นงานทั้งหมดพร้อมกัน เนื่องจากมีผลกระทบต่อสหรัฐเช่นกัน แต่เป็นการประกาศเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองมากกว่า โดยเศรษฐกิจไทยหากทำดีๆ อาจรักษาการเติบโตของจีดีพีที่ 3% ได้ แต่มองในแง่ลบ อาจขยายตัว 2.5-2.6% เท่านั้น” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า ที่ประเทศไทยเตรียมไว้ถือว่ามาถูกทางแล้ว เป็นการเตรียมพร้อมเจรจาต่อรอง ว่าประเทศไทยสามารถให้อะไรสหรัฐกลับไปได้ หากสหรัฐหันมาเล่นงานประเทศไทยในช่วงถัดไป ส่วนนี้มองว่าขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง หากการขึ้นภาษีน้อยกว่าหลายๆ ประเทศ จาก 10-20% ไทยอาจอยู่ประมาณ 5-10% ซึ่งไทยจะได้เปรียบในด้านสินค้าที่ถูกกว่าท้องตลาด อีกทั้งโลกในปัจจุบันมีขนาดใหญ่มาก หากไทยสามารถขยายตลาดไปที่อื่นมากขึ้นได้ ผลกระทบจะลดน้อยลง รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ทิศทางการลงทุนในอาเซียนดีขึ้น เพราะโลกกำลังเข้าสู่ยุควงจรใหม่ อุตสาหกรรมใหม่กำลังเข้ามาในไทย สะท้อนถึงปี 2567 การลงทุนของไทยจากต่างชาติมีเม็ดเงินสูงสุดในรอบสิบปี พื้นที่ในอีอีซีแทบไม่มีที่ดินเหลือแล้ว ส่วนนี้ถือเป็นผลกระทบในแง่บวก

นายสมชาย กล่าวว่า การที่สหรัฐประกาศจัดการจีนผ่านการตั้งกำแพงภาษีถึง 60% ต้องบอกว่าจีนไม่ใช่กระสอบทรายที่จะยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว แต่มีการตั้งรับต่อสู้ไว้แล้ว ผ่านกระสุนการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หากสำเร็จเศรษฐกิจจีนจะโตประมาณ 5% ผลกระทบของจีนอาจไม่ได้มากขนาดนั้น แต่หากทำไม่ได้เต็มที่ จีดีพีจีนอาจโตเหลือเพียง 4% เท่านั้น

ที่มา - matichon

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us