admin L2D

L2D Page (28)

“จตุพร” เดินหน้านโยบายพาณิชย์เต็มสูบ รับมือเศรษฐกิจท้าทาย-ภาษีทรัมป์ มั่นใจส่งออกยังโต 1-2%

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศพร้อมรับมือกับเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์ภายนอก โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีทรัมป์” ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

ภายใต้แนวคิด “จริงจังจริงใจ จตุพร” รัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ได้วางนโยบายเชิงรุก 10 ข้อ พร้อมย้ำว่าแม้จะเคยเป็นข้าราชการประจำมาทั้งชีวิต แต่เมื่อได้เข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง ก็พร้อมใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมานำพาการบริหารเชิงนโยบายให้ถึงมือประชาชน โดยมองว่า นักการเมืองคือนักกำหนดทิศทาง และข้าราชการคือผู้ลงมือขับเคลื่อน หากทั้งสองฝ่ายสามารถประสานงานกันได้ดี ก็จะทำให้นโยบายสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จตุพรระบุว่า การเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เขาจะทำเต็มที่ โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ปัจจัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อให้สามารถวางมาตรการได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สิ่งสำคัญอย่างแรกคือการปรับปรุงระบบการผลิตของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิที่ยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้แม้มีปัจจัยลบจากภายนอก ต่างจากข้าวชนิดอื่นที่ไทยยังสู้คู่แข่งอย่างอินเดียไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องหันมาปฏิรูประบบการผลิตอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ยังต้องลดต้นทุนที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะราคาปุ๋ยและยาฆ่าแมลงที่สูงเกินควร ซึ่งได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปศึกษารายละเอียดโครงสร้างราคาและหาทางปรับลดโดยเร็วที่สุด

อีกหนึ่งแนวทางสำคัญ คือ การเร่งหาตลาดใหม่รองรับสินค้าไทย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมที่อ่อนไหว โดยสั่งการให้ทูตพาณิชย์ในแต่ละประเทศสำรวจความต้องการสินค้าอย่างละเอียด และกำหนดให้เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดผลการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่คาดหวังจากกระทรวงพาณิชย์

สำหรับภาพรวมของการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง กระทรวงประเมินว่าคงไม่เติบโตแรงเท่าครึ่งปีแรกที่มีการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษี แต่มั่นใจว่าทั้งปีจะยังขยายตัวได้ร้อยละ 1-2 และไม่ติดลบ ทั้งนี้ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การเติบโตในระดับเลขหลักเดียวถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี

ในด้านการเจรจาการค้า รัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ระบุว่า ไทยยังคงเดินหน้าผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ รวมถึงการปรับปรุง FTA เดิมให้ทันต่อยุคสมัยและประเด็นใหม่ๆ อย่างสิ่งแวดล้อมหรือการค้าในยุคดิจิทัล พร้อมผลักดันให้ SME ไทยก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างมั่นคง เสริมด้วยแนวนโยบายควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ปราบปรามการค้าไม่เป็นธรรมและธุรกิจนอมินี สร้างระบบบริการภาครัฐที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี และยกเครื่องกฎหมายด้านพาณิชย์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่เปลี่ยนไป

แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยดูแลหน่วยงานสำคัญอาจเป็นการลดบทบาทของรัฐมนตรีหลัก แต่นายจตุพรย้ำว่า ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ พร้อมกล่าวว่าได้สอบถามความสมัครใจของรัฐมนตรีช่วยทั้งสองท่านก่อนมอบหมายงาน ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่ทำให้การทำงานมีความคล่องตัวและตอบโจทย์ได้ตรงจุด

ในประเด็นการเมือง นายจตุพรกล่าวว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับพรรคโอกาสใหม่หรือไม่ แต่ย้ำว่าต้องการเห็นการเมืองที่เข้าถึงประชาชน และยอมรับว่าการเมืองไทยต้องมีทางเลือกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน พร้อมเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก พรรคการเมืองที่เขาพร้อมสนับสนุนต้องเป็นพรรคที่ทันสมัย มีนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และสะท้อนความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนเช่นในปัจจุบัน

L2D Page (27)

กัมพูชายอมผ่อนปรนนำเข้าสินค้าไทย หลังวิกฤตขาดแคลนบีบให้ถอย

ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการทูตและเศรษฐกิจ เมื่อทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้กัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์สินค้าขาดแคลนอย่างหนักในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังเริ่มปิดด่าน

กัมพูชาประกาศปิดด่านสำคัญโดยไม่แจ้งล่วงหน้าในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ด่านบ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าหลัก ทำให้รถบรรทุกสินค้าจากฝั่งไทยไม่สามารถข้ามแดนได้ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุนเซน เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างตนกับนายกรัฐมนตรีของไทย ทำให้นายกรัฐมนตรีฝ่ายไทยต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น

แม้ว่ากัมพูชาจะตั้งเงื่อนไขหลายประการในการรับมือ หากไทยไม่เปิดด่านกลับ เช่น การแบนสินค้าไทย การหาตลาดใหม่รองรับสินค้าเกษตร ส่งผู้ป่วยไปรักษาในประเทศอื่น และการเรียกแรงงานกลับจากไทย แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏภายในไม่กี่วันหลังปิดด่านชี้ให้เห็นว่า มาตรการของรัฐบาลกัมพูชาเริ่มส่งผลกระทบภายในประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าจากไทย

นมสดยี่ห้อเมจิซึ่งเป็นที่นิยมในกัมพูชาเริ่มขาดตลาดทันที เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น แม้จะมีความพยายามนำเข้านมจากเวียดนามทดแทน แต่ราคาที่สูงกว่าทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบการลักลอบขนนมเมจิเข้ามาในกัมพูชา เช่นกรณีเมื่อเช้าวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2B-7437 บ้านใต้มีชัย ถูกจับกุมในเขตอำเภอมาลัยพร้อมนมเมจิ 496 ขวด พร้อมผู้ต้องสงสัย 2 ราย ซึ่งสารภาพว่านำเข้านมจากคลังในไทย

ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการเริ่มเปลี่ยนไป โดยมีการหาทางลำเลียงสินค้าอ้อมผ่านประเทศลาว สินค้าจากฝั่งอุบลราชธานีถูกส่งผ่านด่านช่องเม็ก เข้าสู่ลาว แล้วเข้าสู่กัมพูชาทางภาคเหนือ ก่อนกระจายสู่กรุงพนมเปญ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปิดด่านทางตรงกับไทย

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชาได้ออกประกาศรายการสินค้าจากประเทศไทยที่ห้ามนำเข้า โดยจำกัดเฉพาะผัก ผลไม้ และน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทเท่านั้น เช่น เบนซิน ดีเซล แก๊ส LPG และ LNG ขณะที่สินค้าประเภทอื่นสามารถนำเข้าได้ตามปกติ หากดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดผ่านจุดข้ามแดนที่ได้รับอนุญาต

แม้ว่ากัมพูชาจะเคยประกาศแบนสินค้าไทยอย่างแข็งกร้าว แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เช่น การแจกจ่ายสินค้าเกษตรฟรีที่เคยเตรียมส่งออก การขาดแคลนสินค้าในท้องตลาด และภาพของเจ้าหน้าที่กัมพูชายังคงใช้สินค้าจากไทย ต่างสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของมาตรการแบนดังกล่าว ที่ไม่อาจทดแทนการพึ่งพาไทยในระยะเวลาอันสั้นได้จริง

ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ของไทย ได้พิจารณาผ่อนปรนมาตรการควบคุมการผ่านแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน โดยอนุญาตให้ยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับภารกิจมนุษยธรรม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าออกผ่านพรมแดนได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมเป็นต้นไป

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากสถานการณ์ภายในกัมพูชาที่ไม่สามารถแบกรับภาระของการแบนสินค้าไทยได้อย่างยาวนาน แม้รัฐบาลพยายามรักษาหน้าด้วยการตั้งเงื่อนไขและเลือกแบนบางรายการ แต่ก็ต้องยอมผ่อนปรนเพื่อนำเข้าสินค้าที่จำเป็นกลับเข้าประเทศ การฟื้นคืนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและกัมพูชาจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในระดับรัฐบาล และจะเป็นตัวแปรชี้วัดความยั่งยืนของเสถียรภาพภายในของทั้งสองประเทศต่อไป

L2D Page (26)

เวียดนามเดินหน้าเสริมศักยภาพขนส่งทางน้ำ หวังลดต้นทุนโลจิสติกส์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิญ จิ่ง ของเวียดนาม ได้ลงนามในหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ เลขที่ 113/CD-TTg ซึ่งมุ่งเน้นแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเนื้อหาของหนังสือแจ้งดังกล่าวระบุถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ภายในระบบขนส่งทางน้ำ และเน้นย้ำการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนในภาคโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในระยะยาว

นายกรัฐมนตรีระบุว่า เวียดนามมีศักยภาพสูงในด้านการขนส่งทางน้ำ ด้วยแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,260 กิโลเมตร และระบบแม่น้ำที่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 42,000 กิโลเมตร ทำให้การขนส่งทางน้ำถือเป็นรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประเมินว่าภาคส่วนนี้ยังไม่ได้รับความสำคัญและการลงทุนที่เพียงพอ ปัญหาที่พบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลัง กองเรือที่มีขนาดจำกัด และการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ

เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐในทุกระดับ รวมถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงก่อสร้างซึ่งได้รับมอบหมายให้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการเดินเรือและขนส่งทางน้ำ เพื่อเปิดทางให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ปี 2568 นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงแผนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนาเส้นทางขนส่งสายหลัก และจัดทำรายการโครงการลงทุนที่สำคัญในท่าเรือตามเส้นทางแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำแดง แม่น้ำไซง่อน และเส้นทางไก๋เม็ป-ทีวาย

ในด้านทรัพยากรทางการเงิน กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้จัดสรรงบลงทุนสาธารณะในช่วงปี 2569-2573 ให้เหมาะสมกับโครงการสำคัญ รวมถึงพิจารณามาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และกลไกสนับสนุนสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมประสานกับบริษัทชั้นนำอย่าง Saigon Newport Corporation และ Vietnam National Shipping Lines เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาท่าเรือสำคัญและศูนย์ขนส่งทางน้ำภายในประเทศ

ด้านกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมมีภารกิจในการปรับปรุงกระบวนการจัดสรรพื้นที่และลดระยะเวลาในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าต้องกำหนดนโยบายส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาใช้การขนส่งทางน้ำมากขึ้น ส่วนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้รับคำสั่งให้ดูแลด้านความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในการดำเนินโครงการต่าง ๆ

ในระดับท้องถิ่น ประธานคณะกรรมการประชาชนของแต่ละจังหวัดและเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของรัฐบาลกลาง จะต้องตรวจสอบและจัดสรรพื้นที่สำหรับโครงการโลจิสติกส์ พร้อมทั้งบูรณาการการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งทางน้ำ เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินงานทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรองนายกรัฐมนตรี เจิ่น ฮอง ฮา โดยมีสำนักงานรัฐบาลร่วมมือกับกระทรวงก่อสร้างเพื่อเร่งรัดและติดตามความคืบหน้า พร้อมรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ เพื่อให้แนวทางการพัฒนานี้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้

L2D Page (25)

ญี่ปุ่นเผชิญภาวะส่งออกหดตัว ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีทรัมป์และข้อพิพาททางการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนหลังจากการส่งออกในเดือนมิถุนายน 2568 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ตัวเลขการส่งออกหดตัว โดยก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม การส่งออกของญี่ปุ่นก็ลดลงไปแล้ว 1.7% ตัวเลขล่าสุดนี้สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งประเมินว่าจะมีการขยายตัวราว 0.5% แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการถดถอย ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่กำลังทวีความรุนแรง

การส่งออกของญี่ปุ่นไปยังตลาดสำคัญอย่างจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดลดลง 4.7% ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดอันดับสอง ลดลงถึง 11.4% เมื่อเทียบรายปี การหดตัวในระดับนี้ถือว่ารุนแรงยิ่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 11% โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องเผชิญแรงกระแทกอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นในอัตรา 25% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากระดับ 24% ที่เคยประกาศในวันชาติสหรัฐฯ หรือ “วันประกาศอิสรภาพ”

เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา รถยนต์จากญี่ปุ่นที่นำเข้าสหรัฐฯ ก็ได้ถูกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันไปก่อนแล้ว ทำให้ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจน โดยข้อมูลจากกระทรวงการค้าญี่ปุ่นระบุว่า การส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนลดลงถึง 26.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากเดือนพฤษภาคมที่ลดลง 24.7% รถยนต์ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 28.3% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2024 ตามข้อมูลจากศุลกากร

ท่ามกลางแรงกดดันนี้ นักวิเคราะห์เริ่มแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากการหดตัวต่อเนื่องของการส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า และหากตัวเลขในไตรมาสที่สองยังติดลบอีกครั้ง จะเข้าเงื่อนไขของภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค” โดยธนาคารโลกเปิดเผยว่า ในปี 2023 การส่งออกสินค้ารวมบริการคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 22% ของ GDP ญี่ปุ่น ซึ่งตอกย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศอย่างมาก

ในด้านการเจรจาการค้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม เรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่น ยืนยันว่า ข้อตกลงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ จะต้องรวมถึงการผ่อนปรนภาษีในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เขายังแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงที่ต้องแลกกับการเสียสละผลประโยชน์ของภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามผลักดันการเปิดตลาดข้าวของญี่ปุ่น

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social แสดงความไม่พอใจต่อญี่ปุ่น โดยระบุว่า “ญี่ปุ่นไม่ยอมรับข้าวของเรา” แม้ว่าญี่ปุ่นจะกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนข้าวก็ตาม ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่าในปี 2024 ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ประมาณ 350,000 ตัน ซึ่งแม้จะทำให้สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดไปยังญี่ปุ่น แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับที่สหรัฐฯ คาดหวัง

ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยังไม่มีทางออก ญี่ปุ่นจึงต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากระหว่างการยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับการปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่มาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นแรงกระแทกที่อาจผลักเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ถลำลึกลงไปสู่ภาวะถดถอยอย่างแท้จริงในครึ่งหลังของปี

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us