admin L2D

news-20241109-01

'KEX' สรุป 9 เดือน ขาดทุน 3,286 ล้าน แจงเหตุโลจิสติกส์แข่งขันรุนแรง ลดขนส่งพัสดุแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

ไตรมาส 3 ปี 2567 Kerry Express ผู้ให้บริการจัดส่งด่วน ได้รีแบรนด์โดยเปลี่ยนชื่อและเครื่องหมายการค้าเป็น KEX หลังจากเสร็จสิ้นการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) ในเดือนสิงหาคม 2567 ด้วยจำนวนหุ้นรวม 1,762,393,295 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 5,639,658,544 บาท จากการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นใหม่ SF Express ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ที่สุดในจีนและเอเชีย ผ่านบริษัทย่อย SF International Holding (Thailand) เพื่อเสริมฐานะการเงินและสภาพคล่อง

หลังปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX ได้สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 มีรายได้จากการขายและบริการ 2,505 ล้านบาท ลดลง 6% เทียบไตรมาสก่อนหน้าและลดลง 13% เทียบปีก่อน ขาดทุนสุทธิ 1,035 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 3% เทียบไตรมาสก่อน และขาดทุนเพิ่มขึ้น 15% เทียบปีก่อน

ส่วนรายได้จากการขายและบริการ 9 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 7,718 ล้านบาท ลดลง 14% เทียบปีก่อน จากการลดลงของปริมาณจัดส่งพัสดุในกลุ่มอีคอมเมิร์ซ ขาดทุนสุทธิ 3,286 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 20% เทียบปีก่อน

KEX สรุปไตรมาส 3 ดังนี้

  • รายได้และปริมาณการจัดส่งพัสดุลดลง 10% เทียบไตรมาสก่อน และลดลง 19% เทียบปีก่อน สาเหตุหลักมาจากกลยุทธ์ที่เน้นกลุ่มผู้ใช้บริการที่ให้ผลตอบแทนสูงและบริหารจัดการปริมาณจัดส่งพัสดุที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและลดการขาดทุนจากการแข่งขันรุนแรงระหว่างผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายอื่น (สอดคล้องกับประกาศจาก “ช้อปปี้” ได้แจ้งผู้ใช้บริการว่า KEX ยุติให้บริการขนส่งผ่านแพลตฟอร์มตั้งแต่ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567)
  • ขณะที่สัดส่วนรายได้จากผู้ใช้บริการประเภท C2C เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 42% เป็น 49% จากกลยุทธ์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการที่ให้ผลตอบแทนสูง และหาลูกค้ารายใหม่เพื่อชดเชยปริมาณลูกค้ากลุ่มแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลดลง
  • แผนธุรกิจต่อไปของ KEX จะกระจายไปสู่แหล่งรายได้ใหม่เพิ่มอัตรากำไร โดยเฉพาะจากผู้ใช้บริการรายย่อย การให้บริการแบบครบวงจร การจัดส่งระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงไทยกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ด้วยการใช้เครือข่ายระดับโลกและเทคโนโลยีจาก SF Express บริษัทแม่

ย้อนหลังผลประกอบการ KEX (Kerry Express) ขาดทุนต่อเนื่อง

ปี 2565 รายได้ 17,145 ล้านบาท ขาดทุน 2,829 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 11,541 ล้านบาท ขาดทุน 3,880 ล้านบาท

ปี 2567 (9 เดือน) รายได้ 7,718 ล้านบาท ขาดทุน 3,286 ล้านบาท

ที่มา - brandbuffet

“คมนาคม” จ่อสร้าง 6 สนามบิน ครอบคลุมทั่วไทย รับผู้โดยสารพุ่ง

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม  เปิดเผยว่า กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ได้รายงานการเข้าร่วมประชุมระดับผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 59 (59th DGCA Conference) ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านการบินพลเรือนได้มีโอกาสพบปะ

นอกจากนี้ได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสาขาต่าง ๆ ของการบินพลเรือนที่สำคัญและอยู่ในความสนใจ ภายใต้แนวคิด “Shaping the Future of Air Transport: Sustainable, Resilient, and Inclusive” การสร้างอนาคตการขนส่งทางอากาศ : ยั่งยืน ยืดหยุ่น และครอบคลุม

ทั้งนี้ที่ประชุมฯ ได้กล่าวถึงการพัฒนาเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศ ที่คาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ปริมาณผู้โดยสารจากทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานในท่าอากาศยาน รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงการขนส่งทางอากาศสำหรับผู้พิการและส่งเสริมการเท่าเทียมในการเดินทาง ทั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับโครงการ “Net Zero Roadmap Decarbonise Your Airport” หรือแผนงานเพื่อมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนภายในท่าอากาศยานเป็นศูนย์

นางมนพร กล่าวต่อว่า จากการประชุมดังกล่าวได้มีแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของการขนส่งทางอากาศ การคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางอากาศ และการอำนวยความสะดวกของผู้เดินทาง ขณะเดียวกันได้สนับสนุนให้ ทย. พิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค เพื่อเตรียมการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ทั้งโครงการเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยาน และโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานใหม่ ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานมุกดาหาร บึงกาฬ สตูล พะเยา กาฬสินธุ์ และพัทลุง 

“เน้นย้ำแนวคิดเรื่องความปลอดภัย ด้วยการออกแบบท่าอากาศยานให้มีความปลอดภัยอย่างเหมาะสม และการนำอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยมาใช้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรองด้านความปลอดภัย รวมถึงการออกแบบท่าอากาศยานตามหลักอารยสถาปัตย์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก” นางมนพร กล่าว

ขณะที่การเข้าถึงบริการสำหรับผู้พิการและส่งเสริมความเท่าเทียมในการเดินทาง และในส่วนของเป้าหมายด้านการบินและสิ่งแวดล้อม ได้สนับสนุนให้ ทย. พัฒนาแผนงานต่อยอดหลังจากที่ได้รับรางวัล EIA Monitoring Awards 2024 เพื่อมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และการรับรองคาร์บอนของสนามบินระดับ 5 (ACA)

นายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 18 ตุลาคม 2567 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ มี 48 ประเทศ/รัฐ เข้าร่วมการประชุม โดยประเทศไทยได้ส่งผู้แทนจากหน่วยงานทั้งราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย

สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)

สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.)

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ยังมีองค์การด้านการบินระหว่างประเทศ เช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) สมาคมผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) สภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (ACI) องค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (EASA) และองค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (FAA)

นายดนัย กล่าวต่อว่า ทย. จะเร่งดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันมีท่าอากาศยานที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะก่อสร้างในอนาคต ได้แก่ ท่าอากาศยานมุกดาหารและท่าอากาศยานบึงกาฬ อยู่ในขั้นตอนออกแบบและจัดทำ EIA ท่าอากาศยานสตูล อยู่ในขั้นตอนหาผู้รับจ้าง (ที่ปรึกษา) ในการออกแบบและจัดทำ EIA

ส่วนท่าอากาศยานพะเยา อยู่ในขั้นตอนได้รับงบประมาณเพื่อออกแบบและจัดทำ EIA ในปี 2568 ขณะที่ท่าอากาศยานกาฬสินธุ์และท่าอากาศยานพัทลุง ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานแล้วเสร็จ ด้านการให้ความสำคัญกับประเด็นความหลากหลาย ทย. ได้สนับสนุนสิทธิและโอกาสเท่าเทียมทุกกลุ่ม การใช้ความหลากหลายของช่วงอายุมาเป็นประสบการณ์ในการทำงาน

อย่างไรก็ตามการที่ ทย. มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานตามพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศไทย ทำให้มีการเปิดรับมุมมอง ความเชื่อทางศาสนา และค่านิยมที่แตกต่าง เพื่อบูรณาการให้องค์กรมีความเข้มแข็ง

ที่มา - thansettakij

นักวิชาการชูแนวคิด 'One Belt, One Buckle' ปักหมุดไทยเชื่อม 'เศรษฐกิจจีน-อาเซียน'

ปัจจุบันโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนถือเป็นความริเริ่มระดับโลกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกเข้าไว้ด้วยกัน

โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศต่างๆ แต่ในขณะที่จีนขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ไปทั่วโลก และ ตอนนี้พลังอำนาจจีน สหรัฐใกล้กันมากกว่าเวลาไหน  สหรัฐก็พยายามต่อต้านการขยายอำนาจของจีนในทุกวิถีทาง เพื่อถ่วงเวลาและสร้างข้อจำกัดในการที่จีนจะขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยว่าในโอกาสที่ได้รับเชิญให้กล่าวปาฐกถานำในงาน Belt and Road Forum for International Think Tank Cooperation และ Silk Road (Xi’an) International Communication Forum ที่จัดขึ้นที่เมืองซีอาน ประเทศจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหมในอดีต และมีผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางความคิด และสื่อมวลชนจาก 50 ประเทศเข้าร่วม จึงได้เสนอบทบาทสำคัญที่ประเทศไทยสามารถมีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการ BRI ให้ประสบความสำเร็จไว้หลายประการ

โดยแนวคิดหลักที่ได้เสนอกับรัฐบาลจีนและผู้เข้าร่วมประชุม คือ ยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของ BRI ในศตวรรษหน้า เป็นยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “หนึ่งแถบหนึ่งหัวเข็มขัด (One Belt, One Buckle)" แนวคิดนี้มาจากการเสนอให้ประเทศไทยเป็น "หัวเข็มขัด" ของเส้นทางสายไหมใหม่ โดยจะทำหน้าที่เชื่อมจีนกับอาเซียน โดยมาตรการต่างๆ เช่น

1. การให้ไทยเป็น 'หัวเข็มขัด' หรือศูนย์กลางการค้า การลงทุน และ โลจิสติกส์ที่เชื่อมจีนกับภูมิภาคอาเซียน 

ภูมิศาสตร์ของไทยที่ตั้งอยู่ใกล้จีนและเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียนทำให้ไทยเป็นตัวเชื่อมที่สำคัญระหว่างจีนกับภูมิภาคและโลกอื่น ๆ ทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกของไทยเอื้อต่อการพัฒนาศูนย์กลางโลจิสติกส์ ที่จะช่วยให้จีนและอาเซียนสามารถเชื่อมต่อกับตลาดขนาดใหญ่ทั่วโลกผ่านไทยได้อย่างง่ายดาย

การมีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์นี้จะทำให้ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเป็นจุดเชื่อมต่อของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ

2. การจัดตั้งกองทุน One Belt, One Buckle

ผมเสนอให้ตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนโครงการ One Belt, One Buckle โดยเชิญประเทศต่างๆ เข้าร่วม รวมถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป แม้สหรัฐอาจเลือกที่จะไม่เข้าร่วม แต่การเชิญชวนจะทำให้ไทยมีข้ออ้างในการเจรจาต่อรองได้

3. การสร้างสมาคมไทย-จีนเพื่อความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์

โดยได้เสนอให้จัดตั้งสมาคมไทย-จีนใหม่ โดยให้เชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาคประชาชนของทั้งสองประเทศในประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และเทคโนโลยี โดยสมาคมนี้จะเน้นโครงการที่เป็นรูปธรรมและสามารถดำเนินการได้จริง เช่น การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักเรียน การสร้างเครือข่ายทางวิชาการ และการพัฒนาเมืองใหม่ในประเทศไทยเพื่อดึงดูดการลงทุนจากจีน เป็นต้น

โครงการ One Belt, One Buckle นี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียนได้อย่างมั่นคง แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการขนส่งในภูมิภาค อีกทั้งยังช่วยให้ไทยมีบทบาทที่ชัดเจนในการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐ นำไปสู่การสร้างความสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียในอนาคตอีกด้วย

ที่มา - bangkokbiznews

คมนาคมเดินหน้า “ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน” ยันไม่เอื้อเอกชน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ออกมากล่าวอ้างพร้อมกับโพสต์ในสื่อออนไลน์ โดยระบุว่าตนจะไม่แก้ไขสัญญาโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนั้น เป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อนของนายสุรเชษฐ์

ขอชี้แจงว่าในการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 67

ที่กล่าวตอบข้อซักถามของนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ไปอย่างชัดเจนว่า ตนไม่มีนโยบายในการแก้ไขสัญญา “เพื่อเอื้อเอกชน” อย่างแน่นอน ซึ่งในขณะนั้นทางเอกชนจะขอเปลี่ยนสัญญาเป็นรูปแบบทำไปจ่ายไปโดยไม่มีหลักค้ำประกัน ซึ่งผมเห็นว่ามีความเสี่ยงต่อการทิ้งงานและจะก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง

ขณะเดียวกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีความคิดเห็นตรงกันว่าโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นโครงการที่มีประโยชน์มหาศาล ทั้งในพื้นที่ EEC ประเทศชาติ และต้องการให้การดำเนินโครงการไม่หยุดชะงัก ดังนั้นทุกฝ่ายจึงหารือกันเพื่อให้โครงการฯ ดำเนินต่อได้โดยมีความโปร่งใสทุกขั้นตอนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เข้าไปเจรจากับเอกชนจนได้ข้อสรุปการแก้ไขปรับปรุงสัญญาที่เหมาะสม ให้บรรลุข้อตกลงให้โครงการสำเร็จตามแผน โดยระบุให้เอกชนวางหลักค้ำประกันความสำเร็จของการเปิดเดินรถไฟในโครงการ หากทำไม่สำเร็จรัฐจะยึดหลักประกันทันที เพื่อนำมาสานต่อโครงการให้สำเร็จต่อไป

ที่มา - pptvhd36

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us