admin L2D

L2D Page (158)

"หัวเว่ย"พบ"พิพัฒน์" อัปเดตข้อมูล-เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพ"ระบบคมนาคมไทย"

คมนาคมเปิดเวทีรับเทคโนโลยี “หัวเว่ย” เสริมระบบจราจรอัจฉริยะ ยกระดับความปลอดภัยการเดินทางของไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดโอกาสให้บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและรับฟังพัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบคมนาคมขนส่งของไทยในอนาคต โดยมีนายวิลเลี่ยม จาง รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมคณะเข้าร่วมหารือ ณ กระทรวงคมนาคม

การหารือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาทิ ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร โดยมุ่งเน้นการติดตามแนวโน้มเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถนำมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และคุณภาพการให้บริการด้านการเดินทางและการขนส่งของประเทศ

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการเปิดรับองค์ความรู้และนวัตกรรมจากภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ซึ่งมีศักยภาพในการยกระดับการบริหารจัดการระบบคมนาคม ทั้งในด้านการจราจร ความปลอดภัย และการให้บริการประชาชน โดยเป้าหมายสำคัญคือการอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงในการเดินทาง และลดต้นทุนของประชาชนในชีวิตประจำวัน

ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มีการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ในการบริหารจัดการจราจรและระบบความปลอดภัย การพัฒนาระบบควบคุมและติดตามการเดินทางแบบเรียลไทม์ รวมถึงการเชื่อมโยงและบริหารจัดการข้อมูลด้านคมนาคมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการขนส่งทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ภัยพิบัติหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อระบบการเดินทางและการขนส่งของประเทศ

นายพิพัฒน์ย้ำว่า การเปิดรับฟังแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญและภาคเอกชนเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมเชิงนโยบาย เพื่อผลักดันระบบคมนาคมไทยให้ทันสมัย มีความปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน พร้อมขอบคุณบริษัทหัวเว่ยฯ ที่ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภาครัฐไทยอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รายงานความคืบหน้าเชิงแนวคิดเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเชิงนโยบายในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมบุคลากรภาครัฐให้สามารถปรับตัวและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม รองรับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยในระยะต่อไป

L2D Page (157)

จีดีพีเกษตรไทยปี 68 โต 3.3% รับฝนดี–น้ำเพียงพอ-เกษตรกรพร้อมปรับตัว

เกษตรไทยปี 2568 ขยายตัวเด่น 3.3% ฝนเอื้อผลผลิต–นโยบายตลาดนำหนุนการปรับตัว

ภาคเกษตรไทยในปี 2568 มีทิศทางเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรประเมินว่า จีดีพีภาคเกษตรขยายตัว 3.3% จากปีก่อนหน้า สะท้อนศักยภาพการปรับตัวของเกษตรกรไทย ภายใต้ปัจจัยสนับสนุนด้านสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ปริมาณน้ำเพียงพอ และการบริหารจัดการภาคการผลิตที่ดีขึ้น

นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะมีแนวโน้มขยายตัวราว 3.2% ตามการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ แต่ยังเผชิญความเปราะบางจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ขณะที่เศรษฐกิจไทยทั้งระบบคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังคงเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ

ทั้งนี้ ภาคเกษตรไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้า ความผันผวนของสภาพอากาศ กระแสเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงโครงสร้างประชากรสูงวัยที่ส่งผลต่อแรงงานในภาคการเกษตร

เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มุ่งเน้นการจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งเสริมการปลูกพืชมูลค่าสูง ขยายช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการยกระดับทักษะเกษตรกรและการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

สำหรับผลการดำเนินงานรายสาขา พบว่าสาขาพืชมีการขยายตัวสูงสุดถึง 4.6% จากผลผลิตข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน และไม้ผลสำคัญ โดยเฉพาะทุเรียน ขณะที่สาขาปศุสัตว์ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.5% ตามการเพิ่มขึ้นของการผลิตไก่เนื้อ สุกร และไข่ไก่ ส่วนสาขาประมงยังคงหดตัว 1.0% จากผลกระทบของสภาพอากาศแปรปรวนและต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ด้านบริการทางการเกษตรและป่าไม้ขยายตัว 2.6% และ 1.3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังเผชิญแรงกดดันจากภัยธรรมชาติ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า และนโยบายภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้า โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรไทยในปี 2569 จะขยายตัวในช่วง 2.0–3.0% หากสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและเดินหน้าการปรับโครงสร้างภาคเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง

L2D Page (156)

"โบลิเวีย" ประกาศฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ยกเลิกอุดหนุนเชื้อเพลิง-จ่อผ่อน คลายค่าเงิน

โบลิเวียประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หั่นอุดหนุนพลังงานครั้งใหญ่ เดินหน้าปรับระบบค่าเงิน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ว่า ประธานาธิบดีโรดริโก ปาซ ของโบลิเวีย ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจในช่วงดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวชุดมาตรการเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกเงินอุดหนุนเชื้อเพลิง และการปรับเปลี่ยนกรอบอัตราแลกเปลี่ยนที่รัฐควบคุมมาเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศในรอบหลายทศวรรษ

มาตรการดังกล่าวสะท้อนการหักเลี้ยวออกจากแนวทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่โบลิเวียใช้มานานกว่า 20 ปี โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อฟื้นฟูฐานะการคลังของรัฐ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเกิน 20% และแรงกดดันจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ปาซกล่าวในการแถลงพิเศษร่วมกับคณะรัฐมนตรีว่า การยกเลิกเงินอุดหนุนที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการทอดทิ้งประชาชน แต่เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีระเบียบ ความเป็นธรรม และความโปร่งใส พร้อมย้ำว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐ เพื่อนำไปกระจายสู่รัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่างเหมาะสม

ผลจากการยกเลิกเงินอุดหนุนส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นถึง 86% ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นมากกว่า 160% ถือเป็นการปรับราคาพลังงานที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยราคาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ก่อนที่รัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง สื่อท้องถิ่นรายงานว่าสถานีบริการน้ำมันหลายแห่งในกรุงลาปาซต้องระงับการจำหน่ายชั่วคราว หลังประชาชนเร่งกักตุนเชื้อเพลิงก่อนมาตรการมีผล

โบลิเวียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีราคาน้ำมันอุดหนุนต่ำที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างต่อเนื่องได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศเผชิญทั้งภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิงและเงินดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลยืนยันว่าการลดเงินอุดหนุนจะดำเนินควบคู่กับมาตรการคุ้มครองทางสังคม โดยเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 20% ในปีหน้า เป็น 3,300 โบลิเวียโนส หรือราว 479 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเพิ่มเงินช่วยเหลือโครงการ Renta Dignidad สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีบำนาญ และเงินโบนัสนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งทั้งสองโครงการจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50% นอกจากนี้ ยังมีแผนโอนเงินสดพิเศษให้แก่ครอบครัวเปราะบางที่สุดเพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ปาซย้ำว่ามาตรการช่วยเหลือดังกล่าวไม่ใช่การแจกเงินในลักษณะรัฐสวัสดิการทั่วไป แต่เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดสินใจเชิงนโยบายในอดีต

คำสั่งภาวะฉุกเฉินยังให้อำนาจธนาคารกลางในการจัดหาแหล่งสภาพคล่อง ปรับแก้กฎระเบียบภายใน ออกตราสารทางการเงินในต่างประเทศ และทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการทำสวอปค่าเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน ซึ่งเป็นแนวทางที่โบลิเวียเพิ่งหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังประกาศโครงการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยรับประกันเสถียรภาพด้านกฎหมายและภาษีเป็นระยะเวลาสูงสุด 15 ปี และยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในอนาคตจะไม่ถูกนำมาใช้ย้อนหลังกับการลงทุนที่ได้รับการคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากนักลงทุนอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้รับคำสั่งให้เตรียมเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงการยุติระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันค่าเงินโบลิเวียโนถูกตรึงไว้ที่ 6.96 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราในตลาดคู่ขนานขยับขึ้นมาใกล้ระดับ 10 โบลิเวียโนต่อดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศอย่างชัดเจน

L2D Page (155)

ทรัมป์ให้คำมั่นปี 2026 เศรษฐกิจอเมริกาจะปัง! สวนทางค่าครองชีพสูงลิ่ว

ทรัมป์ประกาศความหวังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2026 สดใส แต่เสียงประชาชนยังไม่เชื่อมั่น ท่ามกลางค่าครองชีพที่กดดัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา แถลงปราศรัยต่อประชาชนทั้งประเทศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 ณ ห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาว โดยใช้โอกาสนี้นำเสนอผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ กำลังมุ่งเข้าสู่ “ยุคทองทางเศรษฐกิจ” ในปี 2026 แม้ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากยังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การปราศรัยใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยทรัมป์เปิดฉากด้วยการโจมตีการบริหารเศรษฐกิจของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยระบุว่าปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูงเป็นผลสืบเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน พร้อมยืนยันว่ามาตรการของรัฐบาลปัจจุบันกำลังทยอยแก้ไขปัญหา และทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท รวมถึงรถยนต์ เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวด้านการเมืองระหว่างประเทศของสำนักข่าวอัลจาซีรา มองว่าสุนทรพจน์ครั้งนี้มีลักษณะคล้ายการหาเสียงมากกว่าการแถลงนโยบายเชิงโครงสร้าง เนื่องจากไม่มีการประกาศมาตรการใหม่ที่ชัดเจน ไม่ได้กล่าวถึงการผลักดันกฎหมายสำคัญ และหลีกเลี่ยงการลงลึกถึงปัญหาค่าครองชีพที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

ทรัมป์ยังกล่าวถึงแผนการเสนอชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนใหม่ในอนาคตอันใกล้ โดยยืนยันว่าจะเป็นบุคคลที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

แม้ผู้นำสหรัฐฯ จะยืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลับสะท้อนมุมมองที่สวนทาง โดยผลสำรวจของ NPR/PBS News/Marist ระบุว่า มีเพียง 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เห็นด้วยกับการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่ 45% ระบุว่าราคาสินค้ายังเป็นประเด็นเศรษฐกิจที่น่ากังวลที่สุด และกว่า 60% มองแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าด้วยความกังวล โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว

ขณะเดียวกัน สำนักข่าว CNN รายงานว่าทรัมป์ได้กล่าวอ้างตัวเลขการลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลบนเว็บไซต์ทำเนียบขาวที่ระบุว่าการลงทุนจริงอยู่ที่ประมาณ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น โดย CNN ระบุว่าตัวเลขดังกล่าวยังอาจถูกประเมินเกินจริง เนื่องจากมีการนับรวมเพียงคำมั่นสัญญาทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน

ในช่วงท้ายของการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมผลงานด้านนโยบายกำแพงภาษีและการควบคุมผู้อพยพ โดยยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้รับความเคารพจากนานาประเทศมากขึ้น และการเข้าเมืองผิดกฎหมายลดลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมโจมตีรัฐบาลไบเดนว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาพรมแดนในอดีต

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเน้นย้ำข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะช่วยลดราคายาในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะยาช่วยลดน้ำหนักที่มีราคาเริ่มต้นต่ำลง และการเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์ TrumpRx ในปีหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อยาในราคาพิเศษได้โดยตรง

แม้ทรัมป์จะพยายามสื่อสารภาพความสำเร็จและความหวังทางเศรษฐกิจ แต่บรรยากาศโดยรวมสะท้อนว่าความเชื่อมั่นของประชาชนยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าครองชีพและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินอยู่

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us