admin L2D

L2D Page (27)

กัมพูชายอมผ่อนปรนนำเข้าสินค้าไทย หลังวิกฤตขาดแคลนบีบให้ถอย

ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการทูตและเศรษฐกิจ เมื่อทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้กัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์สินค้าขาดแคลนอย่างหนักในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังเริ่มปิดด่าน

กัมพูชาประกาศปิดด่านสำคัญโดยไม่แจ้งล่วงหน้าในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ด่านบ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าหลัก ทำให้รถบรรทุกสินค้าจากฝั่งไทยไม่สามารถข้ามแดนได้ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุนเซน เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างตนกับนายกรัฐมนตรีของไทย ทำให้นายกรัฐมนตรีฝ่ายไทยต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น

แม้ว่ากัมพูชาจะตั้งเงื่อนไขหลายประการในการรับมือ หากไทยไม่เปิดด่านกลับ เช่น การแบนสินค้าไทย การหาตลาดใหม่รองรับสินค้าเกษตร ส่งผู้ป่วยไปรักษาในประเทศอื่น และการเรียกแรงงานกลับจากไทย แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏภายในไม่กี่วันหลังปิดด่านชี้ให้เห็นว่า มาตรการของรัฐบาลกัมพูชาเริ่มส่งผลกระทบภายในประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าจากไทย

นมสดยี่ห้อเมจิซึ่งเป็นที่นิยมในกัมพูชาเริ่มขาดตลาดทันที เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น แม้จะมีความพยายามนำเข้านมจากเวียดนามทดแทน แต่ราคาที่สูงกว่าทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบการลักลอบขนนมเมจิเข้ามาในกัมพูชา เช่นกรณีเมื่อเช้าวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2B-7437 บ้านใต้มีชัย ถูกจับกุมในเขตอำเภอมาลัยพร้อมนมเมจิ 496 ขวด พร้อมผู้ต้องสงสัย 2 ราย ซึ่งสารภาพว่านำเข้านมจากคลังในไทย

ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการเริ่มเปลี่ยนไป โดยมีการหาทางลำเลียงสินค้าอ้อมผ่านประเทศลาว สินค้าจากฝั่งอุบลราชธานีถูกส่งผ่านด่านช่องเม็ก เข้าสู่ลาว แล้วเข้าสู่กัมพูชาทางภาคเหนือ ก่อนกระจายสู่กรุงพนมเปญ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปิดด่านทางตรงกับไทย

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชาได้ออกประกาศรายการสินค้าจากประเทศไทยที่ห้ามนำเข้า โดยจำกัดเฉพาะผัก ผลไม้ และน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทเท่านั้น เช่น เบนซิน ดีเซล แก๊ส LPG และ LNG ขณะที่สินค้าประเภทอื่นสามารถนำเข้าได้ตามปกติ หากดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดผ่านจุดข้ามแดนที่ได้รับอนุญาต

แม้ว่ากัมพูชาจะเคยประกาศแบนสินค้าไทยอย่างแข็งกร้าว แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เช่น การแจกจ่ายสินค้าเกษตรฟรีที่เคยเตรียมส่งออก การขาดแคลนสินค้าในท้องตลาด และภาพของเจ้าหน้าที่กัมพูชายังคงใช้สินค้าจากไทย ต่างสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของมาตรการแบนดังกล่าว ที่ไม่อาจทดแทนการพึ่งพาไทยในระยะเวลาอันสั้นได้จริง

ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ของไทย ได้พิจารณาผ่อนปรนมาตรการควบคุมการผ่านแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน โดยอนุญาตให้ยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับภารกิจมนุษยธรรม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าออกผ่านพรมแดนได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมเป็นต้นไป

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากสถานการณ์ภายในกัมพูชาที่ไม่สามารถแบกรับภาระของการแบนสินค้าไทยได้อย่างยาวนาน แม้รัฐบาลพยายามรักษาหน้าด้วยการตั้งเงื่อนไขและเลือกแบนบางรายการ แต่ก็ต้องยอมผ่อนปรนเพื่อนำเข้าสินค้าที่จำเป็นกลับเข้าประเทศ การฟื้นคืนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและกัมพูชาจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในระดับรัฐบาล และจะเป็นตัวแปรชี้วัดความยั่งยืนของเสถียรภาพภายในของทั้งสองประเทศต่อไป

L2D Page (26)

เวียดนามเดินหน้าเสริมศักยภาพขนส่งทางน้ำ หวังลดต้นทุนโลจิสติกส์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิญ จิ่ง ของเวียดนาม ได้ลงนามในหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ เลขที่ 113/CD-TTg ซึ่งมุ่งเน้นแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเนื้อหาของหนังสือแจ้งดังกล่าวระบุถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ภายในระบบขนส่งทางน้ำ และเน้นย้ำการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนในภาคโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในระยะยาว

นายกรัฐมนตรีระบุว่า เวียดนามมีศักยภาพสูงในด้านการขนส่งทางน้ำ ด้วยแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,260 กิโลเมตร และระบบแม่น้ำที่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 42,000 กิโลเมตร ทำให้การขนส่งทางน้ำถือเป็นรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประเมินว่าภาคส่วนนี้ยังไม่ได้รับความสำคัญและการลงทุนที่เพียงพอ ปัญหาที่พบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลัง กองเรือที่มีขนาดจำกัด และการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ

เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐในทุกระดับ รวมถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงก่อสร้างซึ่งได้รับมอบหมายให้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการเดินเรือและขนส่งทางน้ำ เพื่อเปิดทางให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ปี 2568 นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงแผนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนาเส้นทางขนส่งสายหลัก และจัดทำรายการโครงการลงทุนที่สำคัญในท่าเรือตามเส้นทางแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำแดง แม่น้ำไซง่อน และเส้นทางไก๋เม็ป-ทีวาย

ในด้านทรัพยากรทางการเงิน กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้จัดสรรงบลงทุนสาธารณะในช่วงปี 2569-2573 ให้เหมาะสมกับโครงการสำคัญ รวมถึงพิจารณามาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และกลไกสนับสนุนสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมประสานกับบริษัทชั้นนำอย่าง Saigon Newport Corporation และ Vietnam National Shipping Lines เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาท่าเรือสำคัญและศูนย์ขนส่งทางน้ำภายในประเทศ

ด้านกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมมีภารกิจในการปรับปรุงกระบวนการจัดสรรพื้นที่และลดระยะเวลาในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าต้องกำหนดนโยบายส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาใช้การขนส่งทางน้ำมากขึ้น ส่วนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้รับคำสั่งให้ดูแลด้านความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในการดำเนินโครงการต่าง ๆ

ในระดับท้องถิ่น ประธานคณะกรรมการประชาชนของแต่ละจังหวัดและเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของรัฐบาลกลาง จะต้องตรวจสอบและจัดสรรพื้นที่สำหรับโครงการโลจิสติกส์ พร้อมทั้งบูรณาการการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งทางน้ำ เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินงานทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรองนายกรัฐมนตรี เจิ่น ฮอง ฮา โดยมีสำนักงานรัฐบาลร่วมมือกับกระทรวงก่อสร้างเพื่อเร่งรัดและติดตามความคืบหน้า พร้อมรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ เพื่อให้แนวทางการพัฒนานี้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้

L2D Page (25)

ญี่ปุ่นเผชิญภาวะส่งออกหดตัว ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีทรัมป์และข้อพิพาททางการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนหลังจากการส่งออกในเดือนมิถุนายน 2568 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ตัวเลขการส่งออกหดตัว โดยก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม การส่งออกของญี่ปุ่นก็ลดลงไปแล้ว 1.7% ตัวเลขล่าสุดนี้สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งประเมินว่าจะมีการขยายตัวราว 0.5% แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการถดถอย ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่กำลังทวีความรุนแรง

การส่งออกของญี่ปุ่นไปยังตลาดสำคัญอย่างจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดลดลง 4.7% ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดอันดับสอง ลดลงถึง 11.4% เมื่อเทียบรายปี การหดตัวในระดับนี้ถือว่ารุนแรงยิ่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 11% โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องเผชิญแรงกระแทกอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นในอัตรา 25% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากระดับ 24% ที่เคยประกาศในวันชาติสหรัฐฯ หรือ “วันประกาศอิสรภาพ”

เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา รถยนต์จากญี่ปุ่นที่นำเข้าสหรัฐฯ ก็ได้ถูกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันไปก่อนแล้ว ทำให้ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจน โดยข้อมูลจากกระทรวงการค้าญี่ปุ่นระบุว่า การส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนลดลงถึง 26.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากเดือนพฤษภาคมที่ลดลง 24.7% รถยนต์ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 28.3% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2024 ตามข้อมูลจากศุลกากร

ท่ามกลางแรงกดดันนี้ นักวิเคราะห์เริ่มแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากการหดตัวต่อเนื่องของการส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า และหากตัวเลขในไตรมาสที่สองยังติดลบอีกครั้ง จะเข้าเงื่อนไขของภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค” โดยธนาคารโลกเปิดเผยว่า ในปี 2023 การส่งออกสินค้ารวมบริการคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 22% ของ GDP ญี่ปุ่น ซึ่งตอกย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศอย่างมาก

ในด้านการเจรจาการค้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม เรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่น ยืนยันว่า ข้อตกลงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ จะต้องรวมถึงการผ่อนปรนภาษีในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เขายังแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงที่ต้องแลกกับการเสียสละผลประโยชน์ของภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามผลักดันการเปิดตลาดข้าวของญี่ปุ่น

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social แสดงความไม่พอใจต่อญี่ปุ่น โดยระบุว่า “ญี่ปุ่นไม่ยอมรับข้าวของเรา” แม้ว่าญี่ปุ่นจะกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนข้าวก็ตาม ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่าในปี 2024 ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ประมาณ 350,000 ตัน ซึ่งแม้จะทำให้สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดไปยังญี่ปุ่น แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับที่สหรัฐฯ คาดหวัง

ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยังไม่มีทางออก ญี่ปุ่นจึงต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากระหว่างการยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับการปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่มาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นแรงกระแทกที่อาจผลักเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ถลำลึกลงไปสู่ภาวะถดถอยอย่างแท้จริงในครึ่งหลังของปี

L2D Page (24)

อินเดียเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ หวังได้เงื่อนไขดีกว่าอินโดนีเซีย ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.

รัฐบาลอินเดียกำลังเร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตั้งเป้าลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของอินเดียให้ได้เงื่อนไขที่ดีกว่าข้อตกลงที่เพิ่งบรรลุกับอินโดนีเซีย พร้อมพยายามปิดดีลให้ทันก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียลงเหลือ 19% จากระดับเดิมที่ขู่ไว้ว่าจะสูงถึง 32% โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ให้สหรัฐฯ สามารถส่งออกสินค้าเข้าสู่อินโดนีเซียโดยปลอดภาษีนำเข้า ขณะที่อินโดนีเซียจะได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าของตนเข้าสหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเปิดทางการค้าระหว่างกันแบบมีเงื่อนไขสมดุล

ในกรณีของอินเดีย แม้ทรัมป์จะกล่าวว่าข้อตกลงกับอินเดียจะอยู่ใน “ระดับเดียวกัน” กับอินโดนีเซีย และย้ำว่าสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงตลาดอินเดียได้ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเจรจาของอินเดียกลับมองว่าอินเดียสมควรได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า โดยต้องการอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าอินโดนีเซีย และต่ำกว่า 20% ที่สหรัฐฯ เคยเสนอไว้สำหรับเวียดนาม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเช่นกัน

คณะผู้แทนเจรจาของอินเดียซึ่งเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในช่วงสัปดาห์นี้ ได้เร่งผลักดันให้สหรัฐฯ พิจารณาข้อเสนอใหม่ โดยหวังว่าจะสามารถลดภาษีนำเข้าสินค้าของอินเดียให้เหลือต่ำกว่า 10% เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอินเดียมองว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณาเพียงในฐานะประเทศศูนย์กลางส่งต่อสินค้า มากกว่าจะเป็นคู่ค้าเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวเช่นอินเดีย

Soumya Kanti Ghosh หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแห่งรัฐอินเดีย ระบุว่า อินเดียต้องการเงื่อนไขที่สะท้อนถึงบทบาทที่แตกต่างของประเทศตนในภูมิภาค และมีเป้าหมายเจรจาให้ได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่า 10% พร้อมยอมให้มีการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภทให้กับสหรัฐฯ โดยอินเดียได้เสนอแนวทางลดภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐฯ เหลือ 0% หากได้รับการตอบสนองในลักษณะเดียวกันจากฝั่งสหรัฐฯ

แม้ว่าอินเดียจะยังคงระมัดระวังในการเปิดตลาดให้กับสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณเปิดกว้างต่อการให้สัมปทานบางส่วนในกลุ่มสินค้าทางการเกษตร รวมถึงอาจพิจารณาสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มเติมจากบริษัท Boeing ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ ต้องการ

ขณะที่อินเดียเร่งเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์เองก็กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งแม้จะยังคงมีมาตรการควบคุมเข้มข้นในบางด้าน เช่น การจำกัดการดำเนินธุรกิจของบริษัท Huawei และการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนแทบทั้งหมด แต่ก็มีสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์กำลังลดระดับความขัดแย้งเพื่อปูทางสู่การจัดประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน

หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการผ่อนคลายดังกล่าวคือการที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้บริษัท Nvidia กลับมาจำหน่ายชิป H20 ให้กับตลาดจีนได้อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายรายเคยยืนกรานว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่าการถอยทัพในบางจุดอาจทำให้ “เส้นแดง” ทางยุทธศาสตร์ที่เคยวางไว้กับจีนกลายเป็นเพียงเงื่อนไขที่ต่อรองได้

นักวิเคราะห์หลายรายจึงเริ่มตั้งคำถามต่อความแน่วแน่ในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ทรัมป์ดูเหมือนให้ความสำคัญกับการสร้างภาพความสำเร็จระยะสั้น มากกว่าการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริง เช่น ความไม่สมดุลทางการค้าในระดับโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาวทั้งในสหรัฐฯ และนานาชาติ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us