นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2568 ว่า มีมูลค่า 25,277.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 27,157.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลที่ 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การส่งออกของไทยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวกลับสู่กรอบเป้าหมาย และการขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต
ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคการผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐ และจีนขยายตัวในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก
สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.1 (YOY) ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือนโดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.0 ขณะที่สินค้าเกษตร หดตัวร้อยละ 2.2 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 45.5 ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.3 อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 11.8 อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 13.0 ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 19.5 ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 13.4
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 32.4 ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง หดตัวร้อยละ 11.0 ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 7.9 เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 16.0 ผักกระป๋อง และแปรรูป หดตัวร้อยละ 13.3
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ มองว่าขยายตัวไปในทิศทางที่ดี โดยค่าเฉลี่ยที่เดือนละ 25,000-28,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราขยายตัวที่ร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ
ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิต สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนีราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังสหรัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ สถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงตึงเครียด ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบใหม่ในสหรัฐ ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและค่าระวางเรือ ตลอดจนผลกระทบจากมาตรการทางการค้าต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ และการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงด้านตลาด และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ที่ท้าทาย
ที่มา - prachachat