หอการค้าไทยเผยนโยบายทรัมป์ 2.0 คาดจะกระทบไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม มูลค่าการส่งออกไทยในปี 2568 นี้อาจจะลดลง 56,067 ล้านบาท มีผลต่อจีดีพีลดลง 0.30% หากเดือนเมษายนนี้ขึ้นภาษีกลุ่มรถยนต์เพิ่ม โอกาสที่มูลค่าส่งออกไทยลดลงสูงถึง 1 แสนล้านบาทได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 โดยขึ้นภาษีไปแล้ว ได้แก่ จีน เม็กซิโก และแคนนาดา ซึ่งผลกระทบต่อไทยนั้นมีทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกในปีนี้ไทยลดลงประมาณ 56,067 ล้านบาท และมีผลต่อจีดีพีหายไปประมาณ 0.30% แต่อย่างไรก็ดี หากอัตราภาษีสูงกว่าคาดการณ์และเพิ่มชนิดสินค้าอื่น เช่น กลุ่มรถยนต์ ในวันที่ 2 เมษายน 2568 โอกาสที่มูลค่าส่งออกไทยจะลดลงอาจสูงเกิน 1 แสนล้านบาท
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีของรัฐบาล ทรัมป์ 2.0 ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการประกาศขึ้นภาษีกับ 3 ประเทศคู่ค้าสำคัญ
อย่างแคนนาดา สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าทั่วไป 25% และ 10% สินค้ากลุ่มพลังงาน เพราะต้องยอมรับว่าสหรัฐยังพึ่งพิงแคนาดาอยู่ และทางแคนาดาก็ใช้มาตรการตอบโต้ ขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภทกับสหรัฐ 25% เม็กซิโก สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าทั่วไป 25% ปัจจุบันเม็กซิโกยังไม่มีมาตรการตอบโต้ และจีน สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภท 20% และจีนก็ตอบโต้สหรัฐ โดยการขึ้นภาษี โดยเน้นไปในกลุ่มสินค้าเกษตร 10-15%
นอกจากนี้ จากการประเมินการที่สหรัฐขึ้นภาษี 3 ประเทศนี้ อย่างจีน ถูกสหรัฐขึ้นภาษี 20% อาจจะทำให้จีนนั้นส่งออกไปยังสหรัฐลดลง 102,156 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อจีนตอบโตสหรัฐขึ้นภาษี 10-15% จะทำให้สหรัฐส่งออกไปจีนลดลง 14,270 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนเม็กซิโกที่ถูกขึ้นภาษี 25% จะทำให้เม็กซิโกส่งออกไปสหรัฐลดลง 105,086 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับแคนนาดาถูกขึ้นภาษี 25% แคนาดาจะส่งออกไปสหรัฐลดลง 68,744 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อแคนนาดาตอบโต้สหรัฐโดยขึ้นภาษี 25% จะทำให้สหรัฐส่งออกไปยังแคนาดาลดลง 76,043 ล้านเหรียญสหรัฐ”
ขณะที่มาตรการที่ทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้านั้น เช่น เหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็ก อะลูมิเนียม ขึ้นภาษี 25% ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่วนรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ คาดว่าจะขึ้นภาษี 25% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 2 เมษายน 2568 โดยทั้งนี้ ยังต้องรอติดตามอย่างชัดเจนอีกครั้ง
โดยการขึ้นภาษีในสินค้ากลุ่มดังกล่าวนั้น จะส่งผลให้ไทยส่งออกไปในสหรัฐลดลง จากปกติที่คาดว่าจะส่งออกปีนี้เฉลี่ย 4,727 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำให้ไทยส่งออกลดลง 4,077 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าที่หายไปประมาณ 560 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21,927 ล้านบาท ที่จะกระทบประเทศไทยโดยตรง
แต่สำหรับผลกระทบทางอ้อมนั้น จะมีผลในกรณีที่ไทยส่งออกวัตถุดิบไปยังตลาดที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษี ทั้ง จีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งจะมีผลทำให้มูลค่าการส่งออกไทยไปยังตลาดดังกล่าวลดลง 34,140 ล้านบาท รวมไปถึงโอกาสที่กลุ่มสินค้าที่ประเทศดังกล่าวส่งออกไม่ได้ ก็จะหาตลาดใหม่ทดแทน จะไหลเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมคาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพีไทยลดลง 0.30% และคาดว่าสินค้าที่จะกระทบมากสุดคือรถยนต์และอุปกรณ์ หากเมื่อมีผลบังคับอย่างเป็นทางการ มูลค่าการส่งออกที่ไทยจะหายไป 414 ล้านเหรียญสรัฐ หรือประมาณ 13,972 ล้านบาทอีกด้วย
อย่างไรก็ดี หอการค้าไทยยังมีข้อเสนอที่ต้องการให้ภาครัฐเดินหน้า คือการจัดตั้งทีมพิเศษขึ้น โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ภาคสังคม เป็นต้น เพื่อมาหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ในการหามาตรการเข้ามาดูแลและบรรเทาผู้เดือดร้อน อีกทั้งใช้เป็นข้อมูลเพื่อไปเจรจาต่อรองกับสหรัฐเพิ่มเติม โดยไทยอาจจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น การพิจารณาสินค้านำเข้าที่ไทยยังขาดแคลน เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเห็นว่ารัฐบาลต้องเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาช่วยกระตุ้นการจ้างงานในพื้นที่แต่ละจังหวัด ส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น และเกิดการจ้างงาน รวมไปถึงการออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือการใช้งบประมาณจำกัดในโครงการกระตุ้น เช่น มาตรการคูณ 2 เป็นต้น
ที่มา - prachachat