ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กำลังถูกเร่งเดินหน้าเต็มกำลังภายใต้นโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” โดยกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นประตูเศรษฐกิจและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียนในอนาคต
ล่าสุด นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมสั่งการให้ทุกฝ่ายเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้รับประโยชน์สูงสุด
ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยเสริมศักยภาพในการขนส่งทางทะเลของไทย รองรับการเติบโตของการค้าโลก และเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ของประเทศได้อย่างไร้รอยต่อ โดยจะเข้ามาแบ่งเบาภาระของท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ซึ่งแม้จะยังเป็นจุดขนถ่ายสำคัญ แต่กลับมีข้อจำกัดด้านร่องน้ำที่ตื้นและรองรับเรือขนาดใหญ่ได้จำกัด
ข้อมูลจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยระบุว่า ขณะนี้งานก่อสร้างทางทะเล ซึ่งเป็นส่วนแรกของโครงการ มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 67% โดยกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกำหนด ส่วนพื้นที่ท่าเรือชายฝั่ง F1 กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมส่งมอบให้บริษัท GPC อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล ในเดือนพฤศจิกายน 2568
ด้านงานก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นส่วนที่สองของโครงการ กำลังเริ่มต้นขับเคลื่อนโดยบริษัท ซีเอชอีซี (ไทย) จำกัด โดยเริ่มจากสะพานยกระดับก่อนขยายไปยังโครงสร้างหลักอื่น ๆ ในอนาคต ส่วนระบบรถไฟและอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการจัดทำ TOR และจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในเร็ว ๆ นี้
เมื่อโครงการเฟส 3 แล้วเสร็จ ท่าเรือแหลมฉบังจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าทางเรือได้อย่างมหาศาล และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางขนส่งทางทะเลของอาเซียน” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระดับมหภาค แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในระดับฐานรากอีกด้วย
ที่มา - khaosod