ไปรษณีย์ไทย กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามราคาในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ด้วยการลงทุนมหาศาลกว่า 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ เพื่อปรับทัพครั้งใหญ่ พร้อมตั้งเป้าลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และหันไปรุกตลาด Specialized Logistics ที่มีมูลค่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำ
นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากพระราชบัญญัติการประกอบกิจการไปรษณีย์ฉบับใหม่ผ่านการพิจารณา จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด โดยเฉพาะการกำกับดูแลผู้ให้บริการเอกชนที่ปัจจุบันยังอยู่นอกกฎหมายเดิม และจะมีมาตรการป้องกันการตั้งค่าบริการในราคาต่ำกว่าทุน ซึ่งเป็นการ "ดัมพ์ราคา" ที่ทำลายตลาดในระยะยาว
นายดนันท์เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ไปรษณีย์ไทยกำลังเผชิญ จากการที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยรวมเติบโตชะลอตัว และแพลตฟอร์มต่างๆ กลายเป็นตัวกลางที่ควบคุมทิศทางการขนส่งอย่างเบ็ดเสร็จ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งจากราคาที่ถูกที่สุด โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกบริการที่เชื่อถือได้และตรงกับความต้องการ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณงานของไปรษณีย์ไทยมีความผันผวนสูง และกระทบต่อต้นทุนคงที่ของบริษัท
กลยุทธ์ใหม่: พึ่งพาแพลตฟอร์มน้อยลง รุก Specialized Logistics
เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์ม ไปรษณีย์ไทยจึงได้ปรับกลยุทธ์โดยหันมาบริหารพอร์ตลูกค้าใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีความผันผวนต่ำ และเริ่มพัฒนาธุรกิจเฉพาะทาง "Specialized Logistics" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด การส่งเวชภัณฑ์สำหรับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องการกระบวนการจัดการที่ละเอียดอ่อน เช่น การยืนยันตัวตนผู้รับยา การควบคุมอุณหภูมิ และการส่งตรงถึงบ้านภายในวันเดียวกัน
ไปรษณีย์ไทยได้จัดตั้งยูนิตธุรกิจใหม่ชื่อ “เฮลท์แคร์ โลจิสติกส์” เพื่อรองรับบริการนี้ พร้อมรับรองมาตรฐาน GSP (Good Storage Practice) และ GDP (Good Distribution Practice) เพื่อให้มั่นใจในการขนส่งเวชภัณฑ์อย่างมืออาชีพ โดยได้เริ่มทดลองร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์อย่างจุฬาฯ และมองว่าตลาดนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ยอมจ่ายเพื่อดูแลสัตว์เสมือนคนในครอบครัว ซึ่งยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถต่อยอดสู่การจัดส่งอาหารสัตว์และสินค้าที่เกี่ยวข้องในอนาคต
แม้ปริมาณพัสดุจากกลุ่ม Specialized Logistics อาจจะยังไม่มากเท่าอีคอมเมิร์ซ แต่มีอัตราการเติบโตสูงและมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากลูกค้ามาจากหลายแหล่ง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มเพียงไม่กี่ราย และยังสามารถสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรงอีกด้วย
ลงทุน 1,000 ล้านบาท วางระบบอัตโนมัติทั่วประเทศ
นอกจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังได้ ลงทุนเพิ่ม 1,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อวางระบบอัตโนมัติในศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ 19 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ศูนย์ราชบุรี ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับการกระจายพัสดุในภาคตะวันตกและภาคใต้โดยไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในศูนย์กลาง และประหยัดต้นทุน นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการโหลดบาลานซ์และพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ทำให้การคัดแยกพัสดุกว่า 240,000 ชิ้นต่อวันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
กรรมการผู้จัดการใหญ่ไปรษณีย์ไทยกล่าวทิ้งท้ายว่า ไปรษณีย์ไทยไม่ตั้งเป้ากำไรสูงสุด แต่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ไม่เป็นภาระรัฐ และเน้นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่หลายแพลตฟอร์มใช้วิธี "ดัมพ์ราคา" หรือ "ส่งฟรี" เพื่อชิงวอลุ่ม ซึ่งหากแข่งขันไม่ได้ เอกชนรายเล็กจะทยอยออกจากตลาดไป และเหลือผู้เล่นไม่กี่รายที่สามารถควบคุมราคาได้ในที่สุด