รัฐบาลเวียดนามเผยตัวเลขการส่งออกภาคเกษตร ป่าไม้ และประมงยังเติบโตแข็งแกร่ง แม้เผชิญแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดโลก โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้รวมกว่า 39.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะอยู่ที่ราว 6 พันล้านดอลลาร์

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม นายฟุง ดึ๊ก เตียน ระบุว่า เพื่อรักษาโมเมนตัมของการเติบโตท่ามกลางความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดโลก เวียดนามกำลังเดินหน้าเจาะตลาดส่งออกใหม่ ๆ โดยเฉพาะในยุโรป แอฟริกา และกลุ่มประเทศมุสลิม พร้อมทั้งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการส่งออกทั้งปี 2568 ที่ระดับ 65,000–70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าเกษตรหลักทั้งสามกลุ่ม ได้แก่ สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ต่างมีดุลการค้าเกินดุล โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ป่าไม้ซึ่งมีดุลเกินดุลสูงถึง 8.39 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 5% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมีดุลเกินดุล 4.18 พันล้านดอลลาร์ และสินค้าเกษตรมีดุลเกินดุล 4.28 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 33.4%

สินค้าเกษตรที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้คือกาแฟ โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 การส่งออกกาแฟของเวียดนามแตะระดับ 110,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 592.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดสะสมตลอด 7 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.6% ในด้านปริมาณ และพุ่งสูงถึง 65.1% ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ตัวเลขนี้ถือว่าทำสถิติสูงสุด แซงหน้ามูลค่าการส่งออกกาแฟทั้งปีของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 5.48 พันล้านดอลลาร์

ราคาส่งออกกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 5,672.2 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่า 53% โดยตลาดหลักยังคงเป็นยุโรป ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และสเปน ขณะที่ตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดคือเม็กซิโก ซึ่งมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 88 เท่า สะท้อนการขยายตัวเชิงรุกของกาแฟเวียดนามในตลาดโลก

ขณะเดียวกัน ยางพาราก็มีแนวโน้มดีเช่นกัน แม้ว่าปริมาณการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกจะลดลง 2.1% อยู่ที่ 893,800 ตัน แต่มูลค่ากลับเพิ่มขึ้นเกือบ 14% มาอยู่ที่ 1.61 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากราคาส่งออกเฉลี่ยที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,803.2 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่า 16% จากปีก่อน ตลาดหลักยังคงเป็นจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของยอดส่งออกยางพาราเวียดนาม ตามด้วยอินเดียและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ มาเลเซียกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่าการนำเข้ายางเวียดนามเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ขณะที่อินเดียกลับลดลงมากที่สุด

ด้านผักและผลไม้ซึ่งเคยซบเซาในช่วงต้นปี เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยในเดือนกรกฎาคมมียอดส่งออกประมาณ 810 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมในช่วง 7 เดือนแรกอยู่ที่ 3.92 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.9% จากปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากลายเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม 15 ประเทศหลัก ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 65.5% แซงหน้าจีนซึ่งยังคงเป็นตลาดหลักในแง่ปริมาณ แต่กลับมีมูลค่าลดลงถึง 24.3%

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่น่าจับตาคือไทย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของผักและผลไม้จากเวียดนาม แต่ในปีนี้มูลค่าการส่งออกกลับลดลงมากถึง 31.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เวียดนามยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมงได้อย่างมั่นคง พร้อมเดินหน้าปรับตัวรับมือกับความท้าทายจากภายนอกด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดใหม่และยกระดับโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว