การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 2568 การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำมีมูลค่ารวม 761.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.62% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ขณะที่มูลค่ารวมเมื่อรวมทองคำอยู่ที่ 1,906.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 53.05% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อพิจารณายอดสะสมช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม–มิถุนายน 2568) มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำอยู่ที่ 7,408.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 62.74% และหากรวมทองคำ มูลค่าส่งออกสูงถึง 14,023.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตแรงถึง 85.25% โดยเฉพาะทองคำยังคงเป็นสินค้าหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออก โดยในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว มีการส่งออกทองคำมูลค่า 1,145.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.18% จากการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งขยับขึ้นมาเฉลี่ยที่ระดับ 3,352 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ยอดรวมส่งออกทองคำครึ่งปีแตะระดับ 6,614.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตถึง 119.22%
มูลค่าการส่งออกทองคำในแต่ละเดือนยังคงแสดงภาพการเติบโตต่อเนื่อง โดยเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 1,167.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 148.95% เดือนกุมภาพันธ์ 933.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.39% มีนาคม 1,447.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 269.55% เมษายน 1,011.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 250.52% และพฤษภาคม 907.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 55.87%
ตลาดสำคัญที่มีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 11.53% จากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการภาษีใหม่จะมีผลในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ขณะที่ตลาดอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี ต่างมีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน สวนทางกับตลาดสวิตเซอร์แลนด์และเบลเยียมที่หดตัว
ในแง่ของสินค้าย่อย การส่งออกสินค้าแพลทินัมขยายตัวโดดเด่นสูงถึง 58,367.39% ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกไปยังอินเดีย เครื่องประดับเงินเติบโต 30.81% เครื่องประดับทองเพิ่มขึ้น 9.52% เครื่องประดับแพลทินัมเพิ่ม 83.11% ขณะที่กลุ่มสินค้าพลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเครื่องประดับเทียมเติบโตเล็กน้อย แต่สินค้าประเภทพลอยก้อน พลอยเนื้ออ่อน เพชรก้อน และเพชรเจียระไนต่างหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน GIT ระบุว่า การเติบโตของการส่งออกในครึ่งปีแรก สะท้อนภาพรวมของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและแรงหนุนชั่วคราวจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่สหรัฐจะเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ที่ระดับ 19% แม้คาดว่ามาตรการนี้อาจทำให้การส่งออกชะลอลงบ้างในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยยังไม่ลดลง เนื่องจากอัตราภาษีของไทยยังใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค และดีกว่าคู่แข่งหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการค้า ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ ความผันผวนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทที่กระทบต้นทุนการส่งออก อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงและรักษาการเติบโตในภาคการส่งออก ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัว โดยเน้นพัฒนาสินค้าคุณภาพสูง สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการออกแบบและนวัตกรรม ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดระดับบนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความรู้สึกร่วม และคุณภาพมากกว่าราคา โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหรูที่มีศักยภาพเติบโตสูงในตลาดโลก