กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามได้ประกาศเปิดตัวโครงการระยะ 3 ปี ระหว่างปี 2568–2570 เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดภายในประเทศให้ทันสมัยและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ กระตุ้นการบริโภค และต่อยอดแคมเปญ “ชาวเวียดนามให้ความสำคัญกับสินค้าเวียดนาม” ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดในทุกภูมิภาคของประเทศ
รัฐบาลเวียดนามคาดการณ์ว่า ในปีแรกของโครงการ ยอดค้าปลีกและรายได้จากบริการผู้บริโภคจะเติบโตขึ้น 10.5–12% และจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวในกรอบ 8.3–8.5% โดยคาดว่าธุรกิจกว่า 50,000 แห่ง และผู้บริโภคมากกว่า 15 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินงานครั้งนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2570 จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระยะกลาง อาทิ การปรับปรุงกรอบกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐานทางการค้าที่ทันสมัย การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล และการสร้างระบบนิเวศทางการค้าที่มีความยั่งยืนในระยะยาว
ประเด็นสำคัญของโครงการนี้คือการพัฒนาเครือข่ายค้าปลีกของเวียดนามให้โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ การสร้างตลาดอัจฉริยะ การยกระดับโลจิสติกส์ดิจิทัล และการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าสินค้าเกษตรแบบ B2B ที่มีความทันสมัย โครงการยังมุ่งให้เกิดความมั่นคงด้านอุปทานสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดแคลนและการปรับตัวสูงของราคา ซึ่งจะช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมาย 4.5% ของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน
ในระยะถัดไป รัฐบาลเวียดนามจะสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาตลาดภายในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับความทันสมัย ความยั่งยืน การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการบูรณาการเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลก แผนงานจะครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการค้าทันสมัยทั่วประเทศ การสร้างรูปแบบการกระจายสินค้าที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น และระบบนิเวศการค้าประกอบด้วยตลาดอัจฉริยะ เครือข่ายค้าปลีกขั้นสูง และโลจิสติกส์ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Big Data อีกทั้งยังตั้งเป้ายกระดับภาคค้าปลีกเวียดนามให้ติด 1 ใน 10 ของโลก ตามดัชนี Kearney Global Retail Index
การพัฒนาจะขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสูง โดยนำ AI, Big Data และ IoT มาใช้ในการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง จนถึงการบริโภค ผู้ประกอบการจะสามารถใช้แดชบอร์ดข้อมูล (dashboards) เพื่อติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ปรับการผลิตและสินค้าคงคลังได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของข้อมูล เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยให้การส่งมอบสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลดต้นทุน และเชื่อมโยงเครือข่ายเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น
โครงการยังผลักดันการค้าดิจิทัลและการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด โดยส่งเสริมการค้าปลีกอัจฉริยะที่มีทั้งระบบบริหารจัดการลูกค้า (CRM) ระบบจัดการคลังสินค้าที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเครื่องมือดิจิทัลล้ำสมัย เช่น RFID/NFC กล้องและกล่อง AI ระบบชำระเงินไร้แคชเชียร์ และระบบวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพื่อช่วยทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและ QR Code ที่สามารถป้องกันการปลอมแปลงสินค้า และเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญคือการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ “Hang Viet” (สินค้าเวียดนาม) ระหว่างปี 2568–2570 เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาสินค้าที่ผ่านการรับรอง ให้คะแนนและรีวิวผลิตภัณฑ์ รวมถึงรับข้อมูลโปรโมชั่นและส่วนลดแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามยังร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งสมาคมอุตสาหกรรม เพื่อฝึกอบรมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในด้านการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและการแข่งขันในอนาคต