รัฐบาลเวียดนามเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมข้าวเต็มกำลัง หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 เวียดนามสามารถแซงหน้าไทยขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกได้สำเร็จ ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยว่า ปริมาณการส่งออกของเวียดนามเติบโตต่อเนื่องจนสามารถครองตำแหน่งรองแชมป์ผู้ส่งออกข้าวโลกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จึงห์ ของเวียดนาม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนายุทธศาสตร์ใหม่ โดยเน้นการส่งออกข้าวคุณภาพสูงและข้าวออร์แกนิก พร้อมทั้งสร้างแบรนด์ข้าวระดับชาติ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก ยุทธศาสตร์ดังกล่าวสะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางจากเดิมที่เน้นปริมาณการผลิต ไปสู่การยกระดับมูลค่าและสร้างจุดขายด้านคุณภาพ

แม้เวียดนามจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่อุตสาหกรรมข้าวของประเทศยังคงเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิต ตลอดจนข้อกำหนดและกฎระเบียบเข้มงวดจากตลาดสำคัญอย่างสหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพและความยั่งยืน

เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งด่วน โดยมีแผนริเริ่มสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวคุณภาพสูงในพื้นที่กว่า 6.25 ล้านไร่ในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง การนำระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต รวมถึงการพัฒนาแบรนด์ข้าวในระดับชาติให้มีภาพลักษณ์ชัดเจนในตลาดโลก

กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามเปิดเผยว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 เวียดนามส่งออกข้าวได้ 5.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2,810 ล้านดอลลาร์ แม้ปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ในด้านมูลค่ากลับลดลงเกือบ 16% สะท้อนแรงกดดันด้านราคาในตลาดโลก

ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดหลักของเวียดนาม โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 43% ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามมาด้วยกานา 11.1% และไอวอรีโคสต์ 10.6% ที่น่าสนใจคือ บังกลาเทศมีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าข้าวจากเวียดนามสูงสุดถึง 188 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปมาเลเซียกลับเผชิญแรงกดดันด้านราคา ลดลงกว่า 58.5%

สำหรับปี 2568 กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามตั้งเป้าหมายรายได้จากการส่งออกข้าวไว้ที่ 5,700 ล้านดอลลาร์ โดยมีแผนที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาดที่ครองอยู่ พร้อมทั้งขยายตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดข้าวหอมในสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นสนามแข่งขันสำคัญที่ไทยและอินเดียครองความได้เปรียบ

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนชัดเจนว่า เวียดนามกำลังเดินหน้าสร้างยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งเน้นมูลค่าและคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพื่อตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้เล่นหลักในตลาดข้าวโลก และรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับสองให้มั่นคงต่อไป