สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากที่ดำเนินธุรกิจในกัมพูชาและไทยกำลังประสบปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์พุ่งสูงเกือบ 3 เท่า หลังจากรัฐบาลไทยและกัมพูชาปิดพรมแดนทางบกเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้การขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงักและต้องหันไปใช้เส้นทางทางอากาศและทางทะเลแทน
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 บริษัทญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้ขยายการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย เนื่องจากค่าแรงในญี่ปุ่นสูงขึ้น โดยไทยกลายเป็นฐานการผลิตหลักของญี่ปุ่นในภูมิภาค ต่อมาบริษัทต่างๆ เริ่มนำกลยุทธ์ “Thailand Plus One” มาใช้ คือ การย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังกัมพูชา เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า แต่ยังคงพึ่งพาไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการจัดส่งสินค้า
หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ Yazaki Corporation ผู้ผลิตชุดสายไฟรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีฐานการผลิตทั้งในไทยและกัมพูชา ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในภาคตะวันออกของไทยจะถูกส่งไปประกอบที่โรงงานในกัมพูชา ก่อนส่งกลับไทยเพื่อป้อนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น กระบวนการดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังพรมแดนถูกปิด ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนมาใช้การขนส่งทางอากาศและทางทะเลผ่านท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานกว่า 250 กิโลเมตร
การขนส่งที่เคยใช้เวลาเพียง 2 วันด้วยรถบรรทุก ปัจจุบันกลับต้องใช้เวลานานถึง 10 วันทางเรือ ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นอย่างมาก “แม้ว่าโรงงานของเราที่เกาะกงจะอยู่ห่างจากไทยเพียงเล็กน้อย แต่เราต้องเลือกเส้นทางอ้อมไกล ซึ่งไม่สมเหตุสมผลนัก ทว่าการรับผิดชอบต่อการจัดหาสินค้าทำให้เราต้องเดินหน้าต่อ” ฮิโรชิกะ ซูซูกิ ผู้บริหาร Yazaki Corporation ในไทยและกัมพูชา กล่าว
ไม่เพียง Yazaki เท่านั้น แต่บริษัทยานยนต์ญี่ปุ่นรายใหญ่อื่น ๆ เช่น MinebeaMitsumi, Sumitomo Wiring Systems และ Denso Corporation ต่างก็ต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่จากเหตุปิดด่านเช่นกัน ขณะที่ Tsuyoshi Ekashira ประธานบริษัทโลจิสติกส์ JMG ในกัมพูชา เปิดเผยว่าต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้นถึง 2–3 เท่า และยังต้องแบกรับภาระจากปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงขึ้นซึ่งกระทบต่อกระแสเงินสดของธุรกิจโดยตรง
เขาเตือนว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสภาพคล่องจำกัดอาจไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และอาจจำเป็นต้องถอนตัวออกจากกัมพูชาในที่สุด ซึ่งอาจกลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของความเปราะบางในห่วงโซ่อุปทานไทย–กัมพูชา ที่เคยเป็นจุดแข็งของภูมิภาคในสายตานักลงทุนญี่ปุ่นมายาวนาน