ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า การส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 900,000 คัน โดยสาเหตุหลักมาจากออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย มีการปรับเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้รถยนต์บางรุ่นที่ผลิตจากไทยไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยไปออสเตรเลียในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้หดตัวลงถึง 17.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าทิศทางการชะลอตัวนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนสิ้นปี
ออสเตรเลียได้เริ่มใช้มาตรฐานใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2568 ได้แก่ มาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรถยนต์ใหม่ (New Vehicle Efficiency Standard: NVES) เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซ CO₂ เกินเกณฑ์ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 และจะเริ่มเก็บค่าปรับจริงในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน อีกทั้งยังได้ประกาศใช้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่กำหนดให้รถยนต์นำเข้าทุกคันต้องติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking: AEB) ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานของออสเตรเลีย เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 เป็นต้นมา
มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ออสเตรเลียเพิ่มการนำเข้ารถยนต์กลุ่มไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) สูงขึ้นถึง 34.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยส่วนแบ่งตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นเป็น 27% สำหรับรถยนต์นั่ง และ 10% สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ ในขณะที่รถยนต์ใช้น้ำมัน (ICE) กลับลดลง 16.4% ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ลดลงถึง 24.6% เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นในหลายรัฐได้ทยอยยกเลิกมาตรการสนับสนุนการซื้อในปีนี้
แม้ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกของออสเตรเลียจะเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่ไทยกลับไม่ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดังกล่าว เนื่องจากรถยนต์ HEV ที่ส่งออกไปบางรุ่นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ของออสเตรเลีย และในปีนี้ไทยยังไม่มีการส่งออกรถยนต์ PHEV ไปต่างประเทศ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยในออสเตรเลียลดลงจากปีก่อน 2% ในกลุ่มรถยนต์นั่ง และลดลงถึง 5% ในกลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
ข้อมูลในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ระบุว่า การส่งออกรถยนต์ HEV และ PHEV จากไทยไปออสเตรเลียลดลงถึง 15.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน สวนทางกับภาพรวมตลาดที่กำลังขยายตัว ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ไทยยังไม่มีการผลิตรถยนต์ PHEV สำหรับส่งออก รวมทั้งรถยนต์ HEV ที่ผลิตจากไทยบางรุ่นไม่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานใหม่ของออสเตรเลียได้ โดยสถานการณ์นี้ยังเกิดขึ้นกับรถยนต์ HEV และ PHEV จากญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนหลักในอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย โดยมียอดส่งออกไปออสเตรเลียลดลง 13.8% เช่นกัน
การชะลอตัวของการส่งออกจากทั้งไทยและญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นต้องเร่งพัฒนารุ่นรถที่ตอบโจทย์มาตรฐานใหม่ของออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติมให้กับคู่แข่งจากจีน เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และแอฟริกาใต้ ซึ่งกำลังขยายการส่งออกมายังออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือก
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์ที่ส่งออกไปออสเตรเลียจะเข้มงวดขึ้นทุกปี และตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป มีแนวโน้มว่ารถยนต์ที่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าวได้จะเหลือเพียงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เท่านั้น ประเด็นนี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ค่ายรถยนต์จะต้องตัดสินใจว่าจะยังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกเพื่อส่งออกไปออสเตรเลีย หรือจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและเงื่อนไขทางการค้าสอดคล้องกว่า เช่น ญี่ปุ่นซึ่งอาจเพิ่มการผลิตเพื่อรักษากำลังภายในประเทศ หลังตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ในระดับสูง
นอกจากนี้ ฐานการผลิตที่มีความได้เปรียบด้านข้อตกลงการค้าเสรี เช่น แอฟริกาใต้ซึ่งมี FTA กับสหภาพยุโรป ก็อาจกลายเป็นทางเลือกใหม่ของค่ายรถยนต์ระดับโลกในการผลิตและส่งออกรถยนต์กลุ่ม HEV และ PHEV เพื่อสร้างขนาดการผลิตที่คุ้มค่า (economies of scale) และรองรับตลาดที่มีความต้องการเทคโนโลยีสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า