ครม.เศรษฐกิจเตรียมมาตรการรับมือสหรัฐเข้มงวดถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันผลกระทบตลาดส่งออก 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์
รายงานจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.ฝ่ายเศรษฐกิจ) เตรียมเสนอชุดมาตรการสำคัญเพื่อรักษาตลาดส่งออกสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 55,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หลังรัฐบาลสหรัฐเข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น และเริ่มจัดเก็บอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff: RT) ในอัตรา 19% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา
มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการสูญเสียตลาดส่งออกหลักของไทย หลังพบว่าหากสหรัฐตรวจสอบพบสินค้าสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Transshipment) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี อาจถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 40% ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการไทยและภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะคู่ค้าสำคัญ
ทั้งนี้ สหรัฐมีแนวโน้มจะปรับหลักเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) จากเดิมที่พิจารณาตามกระบวนการผลิต (Substantial Transformation) มาเป็นการพิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content หรือ RVC) เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจสร้างความท้าทายใหม่ต่อผู้ส่งออกไทย
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำโครงการ “เพิ่ม Local Content ไทย สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐ (RVC-Up)” ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยมีผู้ประกอบการส่งออกสินค้ากลุ่มเป้าหมายประมาณ 6,000 ราย ครอบคลุม 3 แผนงานหลัก
แผนงานสำคัญคือ “UP System” การพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการตรวจสอบ รองรับปริมาณคำขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภายใต้มาตรการใหม่นี้ กรมการค้าต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานหลักเพียงแห่งเดียวในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไปยังสหรัฐ
ปัจจุบัน กรมฯ ตรวจสอบคำขอเฉลี่ย 90 ฉบับต่อเดือน ใช้เวลาประมาณ 3 วันต่อฉบับ แต่เมื่อมาตรการใหม่มีผลบังคับใช้ คาดว่าปริมาณคำขอจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 8,000 ฉบับต่อเดือน ทำให้ต้องใช้เวลาตรวจสอบเฉลี่ยถึง 24 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนและระยะเวลาการส่งออกของผู้ประกอบการ
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงพาณิชย์จึงเสนอใช้งบประมาณ 12.9 ล้านบาท จากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ 2569 สำหรับพัฒนาระบบดังกล่าว พร้อมมาตรการเสริมอื่น ๆ ได้แก่ การให้ความรู้ผู้ประกอบการ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการจัดตั้งคณะกรรมการสาธารณกิจการค้าต่างประเทศ (คสธก.) เพื่อบูรณาการการปราบปรามธุรกิจนอมินีและการดำเนินธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินร่วมกับสำนักงาน ปปง.
มาตรการเหล่านี้จะถูกนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาเห็นชอบแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ในการรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐ และรักษาความเชื่อมั่นในตลาดส่งออกที่มีความสำคัญสูงสุดต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
เมื่อโครงการมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายรังสิต–บางปะอินเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ จะช่วยลดปัญหาการจราจรแออัดบริเวณถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต เชื่อมโครงข่ายคมนาคมสำคัญระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว.

