อินเดียทุ่ม 6.7 พันล้านดอลลาร์ พัฒนาท่าเรือรัฐมหาราษฏระ หนุนศักยภาพโลจิสติกส์ฝั่งตะวันตก เปิดโอกาสผู้ส่งออกไทยเชื่อมตรงมุมไบ
อินเดียประกาศลงทุนมูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 56,000 โครรูปี) เพื่อพัฒนาท่าเรือในรัฐมหาราษฏระ โดยมี Adani Ports & SEZ (APSEZ) เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดด้วยวงเงินกว่า 5.1 พันล้านดอลลาร์ เป้าหมายของโครงการคือการขยายขีดความสามารถของท่าเรือ ลดระยะเวลาการขนถ่ายสินค้าและต้นทุนการดำเนินงาน เพื่อยกระดับรัฐมหาราษฏระให้เป็นศูนย์กลางทางทะเลหลักทางฝั่งตะวันตกของประเทศ และผลักดันให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าทางเรือระดับโลก
การลงทุนครั้งนี้ได้รับการประกาศภายในงาน India Maritime Week 2025 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือและโลจิสติกส์ในพื้นที่มุมไบ–JNPT–Dighi ซึ่งเป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจทางทะเลที่สำคัญของอินเดีย การขยายขีดความสามารถดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาการหมุนเวียนของเรือได้ราว 25–30% (เฉลี่ยลดลง 1 วัน) ลดต้นทุนดำเนินงานลง 8–12% และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของท่าเรืออินเดียขึ้นจากระดับ 35% เป็น 45–50% ขณะเดียวกันยังมีการวางแผนขุดร่องน้ำให้ลึกขึ้นเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ และยกระดับการเชื่อมโยงกับพื้นที่ตอนในของประเทศ (hinterland connectivity) ผ่านโครงข่ายทางถนน รถไฟ และคลังสินค้า
ก่อนการประกาศลงทุนครั้งนี้ รัฐมหาราษฏระมีท่าเรือหลักอยู่แล้ว ได้แก่ JNPT, Mumbai และ Dighi ซึ่งแม้จะมีบทบาทสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังเผชิญปัญหาความแออัดและข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการขนถ่ายสินค้า การลงทุนของ APSEZ จึงมีเป้าหมายชัดเจนในการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว โดยคาดว่าปริมาณการขนส่งสินค้าของบริษัทจะเพิ่มจากระดับ 450 ล้านตัน (MMT) ในปีงบประมาณ 2568 ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะกลาง
ในเชิงยุทธศาสตร์ โครงการนี้จะช่วยให้อินเดียสามารถดึงดูดเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศโดยตรง ลดการพึ่งพาท่าเรือกลาง (transshipment hubs) ในประเทศอื่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์และการส่งออกในเวทีโลก ขณะเดียวกันก็เป็นแรงหนุนต่อการผลิตเพื่อการส่งออก (export-led manufacturing) และการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของอินเดียตะวันตก
สำหรับประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองมุมไบ มองว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะในภาคสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็ง รวมถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เนื่องจากการเชื่อมต่อเส้นทางเดินเรือโดยตรงระหว่างไทยกับชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย จะช่วยลดความจำเป็นในการใช้ท่าเรือกลาง ทำให้ระยะเวลาในการขนส่งสั้นลง ต้นทุนต่อคอนเทนเนอร์ลดลง และช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียได้รวดเร็วขึ้น
ปัจจุบันไทยพึ่งพาท่าเรือแหลมฉบังเป็นหลัก ซึ่งมีปริมาณการขนส่งกว่า 9.46 ล้าน TEU ต่อปี ขณะที่ท่าเรือกรุงเทพและมาบตาพุตทำหน้าที่รองรับสินค้าบางประเภท การที่อินเดียเร่งพัฒนาท่าเรือในรัฐมหาราษฏระจึงอาจกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการสร้างเส้นทางขนส่งตรง (feeder/direct services) ระหว่างไทยกับอินเดีย รวมทั้งการร่วมลงทุนด้านคลังเย็นและระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งสองประเทศในระยะยาว
แม้จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่โครงการนี้ก็มาพร้อมความท้าทาย โดยเมื่ออินเดียสามารถเสริมสร้างฐานโลจิสติกส์และการผลิตภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ผู้จัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบบางประเทศอาจเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นจากผู้ผลิตอินเดีย อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวม การลงทุนมูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ในรัฐมหาราษฏระนับเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันบทบาทของอินเดียในฐานะ “ประตูการค้าทางทะเลฝั่งตะวันตก” และเปิดเส้นทางใหม่ให้ไทยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโลจิสติกส์อินเดียเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและเอเชียใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

