รฟท.เร่งทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ แก้หนี้สะสมกว่า 2.8 แสนล้าน มุ่งเพิ่มรายได้–พัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ดันเป้าขึ้นแท่นผู้นำระบบรางอาเซียนปี 2570
การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าทบทวนแผนฟื้นฟูฉบับใหม่ หลังแบกรับปัญหาหนี้สินสะสมกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยมุ่งยกระดับรายได้ทั้งจากระบบขนส่งและการพัฒนาเชิงพาณิชย์ พร้อมเร่งจัดหาขบวนรถใหม่เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดระบบราง ขณะเดียวกันยังผลักดันให้บริษัทลูกบริหารทรัพย์สินดำเนินงานเชิงรุกเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว แม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
รัฐบาลได้เห็นชอบให้รฟท.กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 18,000 ล้านบาท เนื่องจากแผนแก้หนี้เดิมยังไม่เพียงพอสำหรับภาระค่าใช้จ่ายประจำปี โดยกระทรวงคมนาคมรายงานว่ารฟท.ขาดทุนต่อเนื่องยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากการต้องนำรายได้ไปชำระดอกเบี้ยและหนี้เงินกู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่งบที่เหลือถูกใช้ในการซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านราง รวมถึงอาคารสถานที่ รถจักร รถโดยสาร และรถสินค้า ซึ่งมีอายุการใช้งานมายาวนานจนต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ค่าใช้จ่ายด้านการเดินรถ ค่าบริหารจัดการ และค่าใช้จ่ายบำเหน็จบำนาญยังคงสูง ส่งผลให้รายได้ไม่ครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยแนวทางแก้ปัญหาหนี้ของรฟท.ว่าแบ่งออกเป็นสองแนวทางสำคัญ แนวทางแรกคือการเพิ่มรายได้จากการเดินรถขนส่งสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันรฟท.มีรายได้จากการเดินรถโดยสารเพียงประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังต่ำเมื่อเทียบกับรายจ่ายด้านการซ่อมบำรุงระบบราง ทั้งยังประสบปัญหาในการจัดซื้อรถโดยสารใหม่หลังถูกสั่งให้ทบทวนและเปิดทางให้เอกชนร่วมเดินรถในรูปแบบ PPP ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 ทำให้รฟท.ยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าโดยสารได้ตามต้นทุนจริงจากค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้จากการขนส่งสินค้าปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยรฟท.ตั้งเป้าเพิ่มรายได้อีกประมาณ 2,400–2,500 ล้านบาทต่อปี หรือราวร้อยละ 10
นอกจากนั้นรฟทยังเร่งผลักดันรายได้จากการรถไฟท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีรายได้เพียง 50 ล้านบาทต่อปี แต่มีศักยภาพเติบโตสูงจากการให้บริการรถไฟท่องเที่ยวพิเศษ เช่น รถไฟญี่ปุ่น KIHA183 รถไฟ Royal Blossom และรถไฟสีน้ำเงินในเส้นทางยอดนิยมช่วงวันหยุด โดยตั้งเป้าผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวให้แตะ 100 ล้านบาทภายในปี 2568 ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องปรับปรุงสภาพขบวนรถและบริการให้มีมาตรฐานมากขึ้น
แนวทางที่สองคือการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ของรฟท.กว่า 38,000 ไร่ ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท โดยทั้งหมดถูกโอนให้บริษัทลูกคือ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเปิดประมูลพัฒนาโครงการต่าง ๆ หนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงคือสถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางระบบรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รฟท.ตั้งเป้าดึงเอกชนร่วมพัฒนาพื้นที่มิกซ์ยูสประเภทต่าง ๆ หลังจากที่การเปิดประมูลรอบก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ต้องปรับแผนและมอบให้ SRTA วางแผนพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยทรัพย์สินจะยังเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟท. ส่วนบริษัทลูกจะดูแลสัญญาเช่าและเจรจากับเอกชน โดยแบ่งรายได้ให้รฟท.ในอัตราร้อยละ 5 ตามที่กำหนดไว้
อีกด้านหนึ่งคือการต่อสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสามเหลี่ยมพหลโยธินให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งสัญญาจะหมดอายุในปี 2571 โดยเอกชนได้เสนอขอต่อสัญญาใหม่อย่างน้อย 20 ปี และรฟท.จะต้องพิจารณาผลตอบแทนให้ไม่ต่ำกว่าสัญญาเดิม SRTA ยังเตรียมนำข้อเสนอขอต่อสัญญาในแปลงอื่นอีกประมาณสิบแปลง เสนอต่อบอร์ดรฟท.ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ เช่น แปลงโครงการถนนพหลโยธินบริเวณ อตก. และแปลงพื้นที่ย่านชุมทางหาดใหญ่
สำหรับพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แผนงานถูกแบ่งออกเป็นสองโซน ได้แก่ แปลง E ซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับแผนสัญญาเช่าของกระทรวงคมนาคม และพื้นที่ด้านข้างแปลง E ที่ SRTA ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเพิ่มเติม ขณะที่แปลง G ซึ่งใช้ก่อสร้างโครงการบ้านพักคนไทย ยังอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการออกแบบ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสองเดือน ก่อนประเมินความคุ้มค่าการลงทุน
พื้นที่ศักยภาพอื่นที่สร้างรายได้ให้รฟท. เช่น ที่ดินย่านรัชดา 186 ไร่ ซึ่งมีอาคารสูง โรงแรม และสถานบริการเช่าพื้นที่อยู่หลายแห่ง โดยบางสัญญาใกล้หมดอายุและต้องเจรจาต่อสัญญาใหม่ รวมถึงกรณีที่เอกชนต้องการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ เช่น การดัดแปลงเป็นโรงแรมสามดาว ทำให้ต้องปรับสัญญาให้สอดคล้องกับรูปแบบพัฒนาใหม่ นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาที่ดินบริเวณรองสถานีธนบุรี เนื้อที่รวม 148 ไร่ ซึ่งรฟท.เตรียมพัฒนาเป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ให้เอกชนเช่าระยะยาว 30 ปี โดยอาศัยศักยภาพทำเลใกล้โรงพยาบาลศิริราช แม่น้ำเจ้าพระยา และจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกกับสายสีแดง รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์อื่นในย่านตลาดน้อยฝั่งธนบุรี
ส่วนกรณีข้อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเอกชนเข้ามาประมูลบริหารสินทรัพย์ของรฟท.นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติม โดยยังใช้มติ ครม.เดิมที่กำหนดให้บริษัท SRTA เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ระหว่างนี้รฟท.จึงได้มอบหมายให้ SRTA เข้าหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อกำหนดแนวทางบริหารสินทรัพย์ร่วมกัน ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทลูกจะเริ่มงานภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568
ที่ผ่านมา รฟท.ได้มอบหมายให้ SRTA ศึกษาความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินแปลงขนาดใหญ่จำนวน 28 แปลง ซึ่งรวมถึงพื้นที่บางซื่อ–คลองตัน (RCA) และโครงการศิลาอาสน์แปลงย่อย โดยทั้งหมดถูกนำมาพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูรายได้ในระยะยาว เพื่อให้รฟท.สามารถเดินหน้าลดภาระหนี้ และก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการระบบรางที่ดีที่สุดในอาเซียนภายในปี 2570

