ไปรษณีย์ไทย–ลาว จับมือเชิงยุทธศาสตร์ หนุนโลจิสติกส์–อีคอมเมิร์ซอินโดจีน
ไปรษณีย์ไทยและไปรษณีย์ลาวได้ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยนายดนันท์ สุภัทรพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า การค้าชายแดนไทย–ลาวกำลังเติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ เดือนกันยายน 2568 ระบุว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศสูงกว่า 23,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 8.8% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยสำคัญคือการขยายตัวของตลาดอีคอมเมิร์ซในลาว ซึ่งมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และการใช้บริการชำระเงินปลายทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้โครงสร้างด้านการขนส่งและระบบการชำระเงินมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคอินโดจีน โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจไทย–ลาว–จีน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจีน–ลาว ที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวของการขนส่งสินค้าทางบกอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้กรอบข้อตกลงทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาในหลายด้าน ตั้งแต่การยกระดับความปลอดภัยและมาตรฐานสากลในการขนส่งไปรษณีย์ด้วยระบบส่งต่อถุงเมล์แบบปิด–เปิดทั้งทางอากาศและภาคพื้น รวมถึงบริการ EMS ผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว พร้อมระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความสะดวกด้านศุลกากร

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังเตรียมเปิดบริการเก็บเงินปลายทางสำหรับสินค้าจากลาวที่ส่งเข้ามาในประเทศไทย เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียม 3% ชั่วคราว เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ไทย–ลาว–จีน ทั้งสองประเทศยังร่วมพัฒนาระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) และช่องทางชำระเงินสำหรับการโอนเงินระหว่างกัน รวมถึงการร่วมออกตราไปรษณียากรชุดพิเศษ โดยประเดิมด้วยแสตมป์ “นาคี” เพื่อฉลองความสัมพันธ์ไทย–ลาวครบ 77 ปี พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพบุคลากรร่วมกันในระยะยาว

ด้านนายฤทธิกร ภูมิศักดิ์ ผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ลาว ระบุว่า เส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว–จีนมีบทบาทสำคัญต่อการขนส่งสินค้าไทยไปจีนและสินค้าจีนเข้าสู่ไทย โดยลาวทำหน้าที่เป็นจุดผ่านสำคัญของโลจิสติกส์ภูมิภาค และจะยิ่งมีศักยภาพมากขึ้นหากโครงการเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงจากจังหวัดหนองคายเข้าสู่เวียงจันทน์แล้วเสร็จ

นายดนันท์กล่าวเสริมว่า การขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่เวียงจันทน์เพื่อส่งต่อขึ้นรถไฟความเร็วสูงยังคงใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลัก แต่เมื่อการเชื่อมต่อทางรางเสร็จสมบูรณ์ โครงข่ายโลจิสติกส์ไทย–ลาว–จีนจะสามารถเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ