แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก: จุดบรรจบการค้าใหม่ของเอเชีย และโอกาสยุทธศาสตร์ที่ไทยต้องไม่พลาด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย–เมียนมา ผมได้เดินทางไปยังกรุงย่างกุ้งเพื่อร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM) สภาธุรกิจเมียนมา–ไทย ภายใต้การดูแลของ UMFCCI และสมาคมการเดินขนส่งทางเรือเมียนมา (MIFFA) ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคเอกชนทั้งสองประเทศ เพื่อผลักดันการค้าและการลงทุนให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน โดยบรรยากาศการหารือร่วมกันสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกันอย่างแท้จริง
ระหว่างพูดคุย มีสมาชิกท่านหนึ่งหยิบยกแนวคิดการพัฒนาเมืองท่าขี้เหล็ก–อำเภอแม่สาย ให้เป็น “จุดบรรจบ 5 ทิศทาง” และเป็นกุญแจเชื่อมตลาดประชากรหลายร้อยล้านคนในภูมิภาคนี้ แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ซึ่งต้องการพลิกโฉมพื้นที่ชายแดนให้กลายเป็น “สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจยุคใหม่” หากเกิดขึ้นจริง ผลประโยชน์จะกระจายไปยังทุกประเทศที่เชื่อมโยงอยู่ในเส้นทางนี้อย่างไม่อาจประเมินค่าได้
ด้วยธรรมชาติของโลกยุคโลกาภิวัตน์ พรมแดนไม่ใช่กำแพง แต่คือจุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การยกระดับจากการค้าชายแดนแบบดั้งเดิมไปสู่การสร้าง “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” หรือ Logistics Hub อย่างเป็นระบบจึงเป็นความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ พื้นที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กคือจุดยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้ เพราะสามารถเชื่อมต่อได้ถึง 5 ตลาดใหญ่ ได้แก่ ไทย เมียนมา จีนตอนใต้ อินเดีย (เอเชียใต้) และลาวซึ่งเป็นประตูไปสู่เวียดนาม การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นี้จึงไม่ใช่เพียงการอำนวยความสะดวกด้านการค้า แต่คือการเปิดประตูเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค
แรงส่งสำคัญของแนวคิดนี้มาจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะจากฝั่งจีน ผมเพิ่งมีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่เมืองยวี่ซี (Yuxi) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นฐานโลจิสติกส์ตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ด้วยเป้าหมายรองรับการค้ากับอาเซียนอย่างจริงจัง การเชื่อมต่อผ่านถนน R3A และ R3B รวมถึงเครือข่ายรถไฟจีน–ลาว จะทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระดับภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ไทยเองก็กำลังเดินหน้าโครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย–เชียงของ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสำคัญ ทำให้ขนส่งสินค้าปริมาณมากจากชายแดนภาคเหนือเข้าสู่ท่าเรือหลักทางภาคกลางและตะวันออกได้รวดเร็วและประหยัดต้นทุนมากกว่าเดิมหลายเท่า
อีกด้านหนึ่ง เมียนมาก็มีบทบาทสำคัญในการเป็น “จุดตั้งต้น” ของการเชื่อมต่อสู่ตลาดอินเดีย ผ่านโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) ไทย–เมียนมา–อินเดีย ซึ่งจะเปิดเส้นทางการค้าใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียใต้โดยตรง สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การค้าระดับภูมิภาค
หากศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้จริง หน้าที่ของพื้นที่นี้จะเปลี่ยนจาก “จุดผ่านแดน” ไปเป็น “หัวใจของการกระจายสินค้าในภูมิภาค” ทำให้เกิดศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Consolidation & Distribution Center) ที่สามารถนำสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยเข้าสู่ตลาดรัฐฉานและตอนบนของเมียนมา พร้อมกันนั้นยังรวบรวมสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูปจากเมียนมาตอนบน เพื่อส่งออกสู่ตลาดจีนด้วยระบบ Cold Chain ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีศักยภาพในการเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งระหว่างถนน–ราง เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการเชื่อมต่อกับท่าเรือของไทย
อย่างไรก็ตาม การสร้าง Logistics Hub ระดับภูมิภาคจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความผันผวนในพื้นที่ชายแดนเป็นพิเศษ ตั้งแต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ไปจนถึงความผันผวนของกฎระเบียบในเมียนมา การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงต้องครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัย ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และการมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เชื่อถือได้ การใช้แนวคิด “Dual-Hub Strategy” คือการให้ท่าขี้เหล็กทำหน้าที่เป็น Mini-Hub สำหรับการรวบรวมสินค้าเบื้องต้น ขณะที่แม่สายทำหน้าที่เป็น Major-Hub สำหรับกิจกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น งานศุลกากรและเอกสาร นับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งในเชิงปฏิบัติ
นอกจากนี้ การลงทุนควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายได้ง่าย เช่น คลังสินค้าแบบ Modular เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้องให้ความสำคัญกับสินค้าในกลุ่มมูลค่าเพิ่ม เช่น ผลิตผลเกษตรที่ต้องการระบบควบคุมอุณหภูมิ ตลอดจนการบูรณาการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ ระบบจัดการเส้นทาง หรือระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสภาวะไม่แน่นอน
สุดท้ายแล้ว การสร้าง Logistics Hub บริเวณแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ไม่ได้เป็นเพียงการมองหาโอกาสในมิติของการค้าเท่านั้น แต่คือการวางเดิมพันบนอนาคตของ “เศรษฐกิจเอเชีย” ทั้งภูมิภาคนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หากไทยและเมียนมาสามารถผสานศักยภาพของตนเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของจีนและไทยได้อย่างลงตัว พื้นที่นี้จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่สำคัญในอนาคต
สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถพัฒนาและยกระดับการขนส่งข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากโลจิสติกส์ฮับแห่งนี้เกิดขึ้นจริง มันจะไม่เพียงช่วยเชื่อมผู้คนหลายร้อยล้านคนในห้าประเทศเท่านั้น แต่ยังจะเปิดช่องทางใหม่ให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น และทำให้ภูมิภาคนี้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเติบโตเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชียอย่างแท้จริง

