ผลกระทบเศรษฐกิจจากอุทกภัยภาคใต้ – ความเสี่ยงถดถอย และโจทย์ใหญ่ด้านการส่งออกของไทย
วันที่ 1 ธันวาคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมาแสดงความกังวลถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่อาจทรุดตัวลงมากกว่าที่คาด หลังเกิดมหันตภัยน้ำท่วมรุนแรงในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และหลายจังหวัดในภาคใต้ ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 170 ราย บ้านเรือนและธุรกิจจำนวนมากได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงซ้ำเติมความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยตรง นายพิชัยประเมินว่า GDP ไตรมาส 4/2568 น่าจะออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิม และอาจเติบโตต่ำกว่า 1% หลังจากไตรมาส 3 เติบโตเพียง 1.2% เท่านั้น ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะ “Technical Recession” สูงขึ้น เพราะอาจติดลบต่อเนื่องสองไตรมาส ขณะที่เศรษฐกิจไทยโดยรวมก็อยู่ในสภาวะเปราะบางอยู่แล้ว

ในด้านการค้า ระบุว่าการส่งออกเดือนตุลาคม 2568 ขยายตัวได้เพียง 5.7% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบปี เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกที่ยังเติบโตเฉลี่ยถึง 13.9% โดยในเดือนกันยายน หลังการเจรจาภาษี “ทรัมป์” การส่งออกยังขยายสูงถึง 19% สูงสุดในรอบ 42 เดือน แต่กลับชะลอแรงในเดือนถัดมา ขณะที่การนำเข้าไม่ลดลง ทำให้ดุลการค้าขาดดุลพุ่งขึ้นถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์

นายพิชัยจึงเสนอให้เร่งฟื้นการส่งออกให้กลับมาในระดับที่กระทรวงพาณิชย์เคยวางเป้าหมายไว้ การส่งออกทั้งปีควรขยายได้อย่างน้อย 11–12% เพื่อรักษาโมเมนตัมจากช่วง 9 เดือนแรก และปีหน้าจำเป็นต้องผลักดันให้เติบโตต่อเนื่องหลายปี เพื่อสร้างความสามารถแข่งขันของไทยในระยะยาว

อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกคือการเจรจาการค้ากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งได้หยุดชะงัก โดย USTR ยังไม่ได้ตอบรับกลับมาอย่างเป็นทางการ นายพิชัยเตือนว่าหากสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีไทย ความเสียหายจะรุนแรงต่อเศรษฐกิจ เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐมากถึงประมาณปีละ 2 ล้านล้านบาท หรือเกือบหนึ่งในห้าของการส่งออกทั้งหมด การหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนสหรัฐแทบทำได้ยากมาก เขายังระบุว่ารูปแบบการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายไทยที่ทำให้ดูเหมือนว่าสหรัฐต้อง “ง้อไทย” อาจสร้างความไม่พอใจและเสี่ยงต่อการตัดสินใจขึ้นภาษี จึงควรเร่งชี้แจงและปรับท่าทีโดยด่วน

ในภาคการเกษตร เขากล่าวถึงสถานการณ์ราคาข้าวที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างข้าวหอมมะลิและข้าวเปลือกเจ้า โดยข้าวหอมมะลิมีคุณภาพสูงและสหรัฐนำเข้าจำนวนมาก ทำให้ราคาทรงตัวที่ตันละ 15,000–16,500 บาทต่อเนื่องหลายปี ในขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าราคายังต่ำมากอยู่เพียง 6,100–6,800 บาท และยังไม่ฟื้นกลับไปที่ช่วงก่อนหน้าแม้จะมีการทำตลาดเชิงรุก เช่น การจัดงาน Thai Rice Convention ที่ขายข้าวได้ 660,000 ตัน และการส่งออกไปแอฟริกาอีก 440,000 ตัน ราคายังไม่ขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

หลังวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ เขาย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์ต้องเข้ามาควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัย เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกเอาเปรียบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าค่าโดยสารเครื่องบินเส้นทางกรุงเทพ–หาดใหญ่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นแล้ว รวมถึงค่าใช้จ่ายการทำความสะอาดบ้านเรือนและร้านค้าที่ถูกโคลนท่วม ซึ่งต้องไม่ให้มีการปรับราคาเกินจริง

ในอีกด้านหนึ่ง เขาชื่นชมรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจ ที่ออกมาตรการปลดล็อกให้การลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น Data Center, AI, พลังงานสะอาด, เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์ และ EV เดินหน้าได้เร็วขึ้น ผ่านมาตรการ “Thailand FastPass” ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและเร่งให้การลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่เกิดขึ้นเร็วขึ้น ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติเพียงรอเข้ามาในไทยหลายแสนล้านบาท และอาจเพิ่มเป็นหลักล้านล้านบาทในอนาคต

นายพิชัยสรุปว่า หากไทยต้องการพัฒนาอย่างมั่นคงในระยะยาว จำเป็นอย่างยิ่งที่การส่งออกจะต้องขยายตัวแรงและต่อเนื่องหลายปี ขณะเดียวกันต้องดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ เพราะนี่คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้ไทยยืนระยะได้ท่ามกลางการแข่งขันระดับนานาชาติที่รุนแรงขึ้นทุกปี