ครม.เศรษฐกิจไฟเขียว “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ควบคู่เปิดรอบใหม่บัตรสวัสดิการรัฐ เตรียมชง ครม. พรุ่งนี้ พร้อมเดินหน้าแพ็กเกจออมลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท

การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความคืบหน้าอย่างสำคัญ หลังในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2” พร้อมทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยทั้งสองมาตรการเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค. 2568)

นอกจากมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายแล้ว ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าและเห็นชอบในหลักการของมาตรการ “Quick Big Win” ซึ่งมุ่งเสริมสร้างฐานะทางการเงินและโอกาสการออมของประชาชน ผ่านแนวคิดการออมรูปแบบใหม่ที่กระทรวงการคลังเตรียมนำเสนอให้ ครม. พิจารณาในวันเดียวกัน โดยมาตรการนี้จะช่วยขยายทางเลือกด้านการออมให้หลากหลายขึ้น เพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง สามารถวางแผนการเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในด้านสวัสดิการผู้สูงอายุในระยะยาว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า รูปแบบการออมที่เสนอครั้งนี้อ้างอิงจากการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้โมเดล Individual Saving Account (ISA) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยง ทั้งหลักทรัพย์ หุ้น พันธบัตร หรือผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดจะถูกรวมเป็นเพดานลดหย่อนภาษีร่วมกับรายการออมเพื่อเกษียณที่มีอยู่เดิม เช่น TISA, RMF, SSF, เบี้ยประกันชีวิต–สุขภาพ และดอกเบี้ยบ้าน โดยทุกประเภทจะถูกรวมกันภายใต้เพดาน 800,000 บาทต่อปี

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผลของนโยบาย Quick Big Win ได้ส่งแรงกระเพื่อมเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นทั้งสามกลุ่มหลักล้วนฟื้นตัว ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคที่ขยับจากระดับ 65.9 ในเดือนกันยายนขึ้นสู่ 71.1 ในเดือนตุลาคม ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นจาก 50.7 มาอยู่ที่ 53.2 ในเดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวดีขึ้นจาก 48.0 ในเดือนกันยายนแตะระดับ 53.2 ในเดือนพฤศจิกายน

การประชุมในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณเชิงรุกของรัฐบาลในการเดินหน้าทั้งมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อและการสร้างเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว ซึ่งจะถูกตัดสินชี้ขาดโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ว่าจะเริ่มเดินหน้าอย่างเป็นทางการภายในช่วงต้นปีหน้าหรือไม่