ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาที่พยายามสกัดกั้นการเติบโตของเศรษฐกิจจีน มหาอำนาจเอเชีย จึงเร่งสร้าง “เส้นทางการค้าใหม่” โดยมีนครฉงชิ่ง มหานครขนาดใหญ่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เป็นหมากตัวสำคัญในกระดานยุทธศาสตร์ โดยรัฐบาลจีนมุ่งพัฒนาฉงชิ่งให้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางระดับโลกที่สามารถเชื่อม “ยุโรป จีน และอาเซียน” ได้อย่างไร้รอยต่อ
ใจกลางของแผนนี้อยู่ที่โครงการรถไฟข้ามพรมแดน 2 สายหลัก: หนึ่งทอดไปถึงเยอรมนี และอีกสายลงใต้สู่สิงคโปร์ เส้นทางที่โดดเด่นอย่าง “Asean Express” วิ่งจากเวียดนามผ่านลาว ไทย มาเลเซีย จนถึงจีน ใช้เวลาเพียง 5 วันถึงฉงชิ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังโปแลนด์ในอีก 2 สัปดาห์ ความคล่องตัวของระบบนี้ไม่เพียงช่วยให้จีนกระจายสินค้าได้รวดเร็วขึ้น แต่ยังเปิดประตูใหม่ให้กับอาเซียนในการเจาะตลาดจีน
แต่เส้นทางสายไหมยุคใหม่ทางรางนี้ก็ไม่ไร้อุปสรรค ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้บริษัทขนส่งในยุโรปหลายแห่งลังเลที่จะใช้เส้นทางที่ผ่านแดนรัสเซีย ขณะเดียวกัน การห้ามสินค้ากลุ่มเครื่องกลและอิเล็กทรอนิกส์ผ่านรัสเซีย ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากถูกยึด และยอดการขนส่งจีน-ยุโรปลดลงกว่า 22% ในช่วงต้นปี 2568
เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนจึงหันมาผลักดันเส้นทาง “Middle Corridor” ซึ่งหลีกเลี่ยงรัสเซียโดยขนส่งผ่านทะเลแคสเปียน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านสภาพอากาศและความล่าช้าในการตรวจสอบศุลกากร แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นทางเลือกสำรองที่มีศักยภาพในระยะยาว
สุดท้าย แม้ภูมิรัฐศาสตร์จะท้าทายแผนการของจีน แต่ “ฉงชิ่ง” ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงในฐานะ “คลองสุเอซทางราง” ของเอเชีย ย้ำชัดว่าจีนพร้อมปรับตัวทุกมิติ เพื่อรักษาบทบาทผู้นำบนเวทีการค้าโลกในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นตัวแปรสำคัญ
ที่มา - bangkokbiznews