ต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เงินไหลออกแรงสุดในภูมิภาค ท่ามกลางกังวลเศรษฐกิจ–การเมืองภายในประเทศ
แม้ตลาดหุ้นโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี แต่ภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอึมครึม เมื่อแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่หยุดลง โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่เม็ดเงินไหลออกอย่างหนักตลอดช่วงวันที่ 1–26 พฤศจิกายน รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการขายสุทธิที่สูงกว่าหลายตลาดในภูมิภาค สะท้อนความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและปัจจัยเฉพาะตัวที่กดดันตลาดต่อเนื่อง
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แม้เดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่เงินทุนโลกหมุนเข้าสู่กลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) อย่างโดดเด่น แต่หุ้นไทยกลับถูกขายสุทธิถึง 337 ล้านดอลลาร์ หรือราว 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นโลกเองก็มีความผันผวนสูง โดยหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐปรับตัวลงแรงและแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสิบปี เนื่องจากความกังวลด้าน Valuation ที่เริ่มตึงตัว ทำให้นักลงทุนเร่งปรับพอร์ตออกจากหุ้นเติบโต (Growth) เข้าสู่หุ้นคุณค่าในหลายภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยซึ่งควรเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้ประโยชน์จากกระแสการหมุนเงินดังกล่าว กลับถูกเทขายหนักจากความกังวลภายในประเทศ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปีนี้อาจเผชิญความเสี่ยงชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้
บรรยากาศในเดือนธันวาคมก็อาจไม่คึกคักนัก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายบางลงและความผันผวนลดทอนลงตามฤดูกาล โดยตลาดยังคงจับตาความชัดเจนด้านการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งและทิศทางนโยบายใหม่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดึงเงินทุนต่างชาติให้เริ่มกลับมาในปีถัดไปได้
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย มองว่า ภาพระยะยาวของฟันด์โฟลว์ยังมีความท้าทาย เนื่องจากในรอบ 6–7 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสะสมรวมกว่า 6–7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ากระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง การจะให้เงินทุนกลับมาอย่างจริงจังจำเป็นต้องเห็นสัญญาณบวกชัดเจนในเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการเติบโต กำไรบริษัทจดทะเบียน และศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทย ซึ่งปัจจุบันยังเติบโตในระดับต่ำ โดยไตรมาส 3 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงระดับ 1% กว่า ๆ เท่านั้น ขณะที่ความหวังในไตรมาส 4 อาจสะดุดจากผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ
ด้านมุมมองของสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ชี้ว่า ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจากความเสี่ยงกรณี US Government Shutdown ซึ่งทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐขาดช่วงประกาศ พร้อมทั้งความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอาจตึงตัวใกล้เคียงช่วงฟองสบู่ปี 2000 ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ตลาดเกิดแรงขายทำกำไร โดยตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงราว 4% ส่วนตลาดหุ้นไทยร่วงลงประมาณ 3–4% ในช่วงครึ่งเดือนแรก
แต่หลังจากกลางเดือนเป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มปรับดีขึ้นตามความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคม ซึ่งช่วยให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยกสิกรไทยประเมินว่าตลาดอาจประเมินการลดดอกเบี้ยต่ำไป และเห็นโอกาสที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีหน้า สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย คาดว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสปิดใกล้ระดับ 1,275 จุด และขยับขึ้นสู่ช่วงประมาณ 1,375 จุดในปีหน้า หากบรรยากาศลงทุนและเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวตามคาด

