ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งสำคัญเพื่อ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป การตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาของทรัมป์ที่จะใช้มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศและปกป้องความมั่นคงของชาติ ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง
คำสั่งดังกล่าวระบุชัดเจนว่า "การปรับขึ้นภาษีนำเข้าก่อนหน้านี้ยังไม่ทำให้อุตสาหกรรมในประเทศสามารถพัฒนาและรักษาอัตรากำลังการผลิตที่จำเป็นต่อสุขภาพที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมและความต้องการด้านการป้องกันประเทศที่คาดการณ์ไว้ได้" และยังกล่าวเสริมว่า "การปรับขึ้นภาษีนำเข้าจะเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้มากขึ้น และลดหรือขจัดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติที่เกิดจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์จากวัสดุดังกล่าว"
อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้าโลหะจากสหราชอาณาจักรจะยังคงอยู่ที่อัตราเดิม 25% เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีหรือกำหนดโควตาใหม่ได้ภายในเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม
การเคลื่อนไหวของทรัมป์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเจรจากับคู่ค้าจำนวนมากเกี่ยวกับภาษีศุลกากรตอบโต้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสามารถของประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศได้ตัดสินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในส่วนนั้น
ทว่า การขึ้นภาษีโลหะในครั้งนี้ของทรัมป์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำตัดสินดังกล่าว เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจอื่นในการบังคับใช้ ซึ่งทรัมป์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ย่อท้อที่จะขึ้นภาษีศุลกากรและเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เสนอข้อเสนอที่น่าพึงพอใจ