นักวิชาการธรรมศาสตร์ หนุนกรมศุลกากรเก็บภาษี E-commerce ทุกชิ้น ชี้คืนความเป็นธรรมให้ SME พร้อมแนะรัฐเร่งเดินหน้า “Customs Quick Big Win”
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นถึงกรณีที่กรมศุลกากรเตรียมจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ทุกชิ้นตั้งแต่บาทแรก ซึ่งจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2569 โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นทิศทางที่ดีและควรชื่นชม เพราะที่ผ่านมาไทยได้ยกเว้นการเก็บอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SME ไทยเสียเปรียบผู้ขายจากต่างประเทศ การปรับนโยบายครั้งนี้จึงเป็นการคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการธรรมศาสตร์มองว่า มาตรการทางภาษีเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการจัดการปัญหา แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เนื่องจากแรงจูงใจหลักที่ทำให้ผู้บริโภคไทยนิยมสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศยังคงอยู่ที่ “ราคา” และ “คุณภาพสินค้า” การเก็บภาษีจึงอาจเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ และรัฐควรดำเนินมาตรการอื่นควบคู่กันไป เช่น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ แข่งขันได้ในราคา และมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ยังระบุด้วยว่า มาตรการใหม่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ E-commerce ไทยที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ดังนั้นภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวหันมาพัฒนาแบรนด์ของตนเอง ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพาตนเองได้ เพราะในระยะยาวภาระภาษีจะถูกผลักให้ผู้ประกอบการไทยต้องรับไว้เอง
นอกจากนี้ นักวิชาการยังแสดงความกังวลต่อปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าปริมาณมากที่อาจเกิดขึ้นหลังมาตรการใหม่มีผลบังคับใช้ โดยสินค้าบางส่วนอาจถูกนำมาเก็บในโกดังภายในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้การควบคุมของรัฐยากลำบากมากขึ้น จึงเสนอให้กรมศุลกากรมีมาตรการป้องกันและตรวจสอบอย่างเข้มงวดในประเด็นนี้
พร้อมกันนี้ ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ยังกล่าวถึงนโยบาย “Customs Quick Big Win” ที่กรมศุลกากรกำลังผลักดัน ซึ่งมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบและลดอุปสรรคทางศุลกากร โดยเฉพาะการเร่งรัดพิจารณาอุทธรณ์กว่า 1,000 เรื่อง ผ่านการเพิ่มความถี่ในการประชุมคณะกรรมการอุทธรณ์อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้กระบวนการตัดสินมีความรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า การประชุมบ่อยครั้งอาจไม่เพียงพอ หากกระบวนการยังต้องใช้ “ดุลยพินิจของบุคคล” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความล่าช้าและความไม่มั่นใจในระบบ จึงเสนอให้กรมศุลกากรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการพิจารณาแทนการใช้ดุลยพินิจ เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการ หากสามารถดำเนินการได้จริง ก็จะถือเป็น “Customs Quick Big Win” อย่างแท้จริงของระบบศุลกากรไทย

