กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อขออนุมัติโครงการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าแบบเหมาจ่ายรายวัน 40 บาท สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง โดยผู้โดยสารจะสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวภายในหนึ่งวัน และจะเริ่มใช้มาตรการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

มาตรการนี้เป็นการสานต่อจากโครงการ “20 บาทตลอดสาย” ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 โดยแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า การเปลี่ยนรูปแบบเป็นตั๋วเหมาวันราคา 40 บาทจะช่วยให้มาตรการด้านค่าครองชีพดำเนินต่อเนื่อง โดยไม่เกิดช่องว่างที่อาจกระทบต่อผู้โดยสารประจำในชีวิตประจำวัน

แนวทางดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการกำหนดอัตราค่าโดยสารตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และกระทรวงการคลังได้เห็นชอบทั้งรูปแบบและงบประมาณแล้ว ขั้นต้นโครงการจะดำเนินงานในลักษณะปีต่อปี โดยต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นรายรอบ เนื่องจากยังติดข้อจำกัดของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง หากต้องดำเนินมาตรการระยะยาวจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมในภายหลัง

งบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้มาจากงบกลางปี 2569 ซึ่งถือว่าใช้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมอย่างมาก เพราะจำกัดให้ใช้เฉพาะสองเส้นทางคือสายสีม่วงและสายสีแดง ต่างจากนโยบาย 20 บาทตลอดสายที่ครอบคลุมกว่า 10 สาย และต้องใช้งบประมาณสูงถึงราว 7,000 ล้านบาท การปรับรูปแบบเป็นตั๋วเหมาวัน 40 บาทจึงทำให้รัฐอุดหนุนน้อยลง และลดภาระขาดทุนที่ต้องรับไว้ในโครงการ

มาตรการใหม่นี้อาจไม่เอื้อต่อผู้โดยสารที่เดินทางเพียงเที่ยวเดียว แต่ผู้ที่ใช้บริการเป็นประจำหรือเดินทางหลายรอบต่อวันจะได้รับประโยชน์มากกว่า โดยกระทรวงคมนาคมมองว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่เดินทางแบบไป-กลับ ซึ่งทำให้ตั๋วเหมาวันราคา 40 บาทคุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าโดยสารแยกรายเที่ยว

สำหรับการศึกษานโยบายเชื่อมต่อรถไฟฟ้าทุกสายให้สามารถใช้ตั๋วราคา 40 บาทได้ทั่วทั้งโครงข่ายยังต้องรอการแก้ไขสัมปทานในหลายส่วน ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาแนวทางปรับโครงสร้างสัญญา โดยหนึ่งในทางเลือกที่ถูกหยิบยกคือการจัดตั้งกองทุนเพื่อซื้อคืนสัมปทาน ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าหากรวมทุกเส้นทางจะต้องใช้วงเงินราวหนึ่งแสนล้านบาท แหล่งเงินที่อาจนำมาใช้รวมถึงงบประมาณบางส่วน รายได้จากกิจการคมนาคม และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานหรือ IFF

โครงการตั๋วรายวัน 40 บาทจึงถือเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปค่าโดยสารรถไฟฟ้า ที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพประชาชน ขณะเดียวกันก็ลดภาระงบประมาณภาครัฐ ก่อนนำไปสู่แผนการเชื่อมต่อระบบทั้งหมดในอนาคตเมื่อการเจรจาสัมปทานแล้วเสร็จ