สหรัฐวิกฤตชัตดาวน์ยืดเยื้อ! รัฐมนตรีคมนาคมสั่งลดเที่ยวบินทั่วประเทศ 10% หวั่นน่านฟ้าโกลาหล

วันที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 07.39 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ ประกาศเตรียมสั่งลดจำนวนเที่ยวบินลงร้อยละ 10 ในสนามบินหลักกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันศุกร์นี้ หากรัฐบาลกลางยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ได้ หลังสถานการณ์เข้าสู่วันที่ 36 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

ภาวะชัตดาวน์ครั้งนี้ได้สร้างแรงกดดันรุนแรงต่อระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินกว่า 13,000 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน (TSA) อีกกว่า 50,000 คน ต้องปฏิบัติงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรอย่างหนัก เที่ยวบินทั่วประเทศล่าช้าเป็นวงกว้าง และแถวตรวจความปลอดภัยในหลายสนามบินยาวเหยียดจนเกิดความโกลาหล

“เราต้องถามตัวเองว่าหน้าที่ของเราคืออะไร—และสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของผู้โดยสาร” ดัฟฟีกล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมยืนยันว่าการลดเที่ยวบินครั้งนี้เป็นมาตรการจำเป็นเพื่อลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินที่กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก

แม้รัฐบาลยังไม่เปิดเผยรายชื่อสนามบินที่ได้รับผลกระทบ แต่คาดว่าจะรวมถึงเมืองหลักที่มีการจราจรทางอากาศหนาแน่นที่สุด เช่น นิวยอร์ก วอชิงตัน ดี.ซี. ชิคาโก แอตแลนตา ลอสแอนเจลิส และดัลลัส การลดเที่ยวบินครั้งนี้คาดว่าจะกระทบมากถึง 1,800 เที่ยวต่อวัน หรือราว 268,000 ที่นั่ง ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์การบิน Cirium

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งสหรัฐฯ (FAA) เตือนว่า หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายภายในสุดสัปดาห์ อาจต้องเพิ่มข้อจำกัดเพิ่มเติมในการบิน ขณะที่สมาคมสายการบิน “Airlines for America” ซึ่งเป็นตัวแทนของสายการบินรายใหญ่ เช่น Delta, United, American Airlines และ Southwest ระบุว่า กำลังหารือกับรัฐบาลเพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดของคำสั่งใหม่ และพยายามลดผลกระทบต่อผู้โดยสารและผู้ขนส่งสินค้าให้มากที่สุด โดย FAA จะจัดการประชุมทางโทรศัพท์กับสายการบินต่าง ๆ เพื่อชี้แจงแนวทางปฏิบัติ

วิกฤตชัตดาวน์ในครั้งนี้เกิดจากการที่สภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้ในร่างกฎหมายงบประมาณ พรรคเดโมแครตยืนยันให้ขยายโครงการเงินอุดหนุนประกันสุขภาพ ขณะที่พรรครีพับลิกันปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว ทำให้รัฐบาลกลางต้องปิดทำการบางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กว่า 750,000 คนถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และประชาชนรายได้น้อยจำนวนมากขาดความช่วยเหลือด้านอาหารและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน

ดัฟฟีเตือนเพิ่มเติมว่า หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ อาจเกิด “ความโกลาหลครั้งใหญ่” และเขาอาจจำเป็นต้องสั่งปิดน่านฟ้าบางส่วนของประเทศชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดหุ้น โดยหุ้นของสายการบินใหญ่ เช่น United และ American Airlines ร่วงลงประมาณ 1% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ

สมาคมอุตสาหกรรมการบินประเมินว่า ผู้โดยสารกว่า 3.2 ล้านคนได้รับผลกระทบจากเที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินไม่เพียงพอ โดย FAA ระบุว่าในสนามบินใหญ่ 30 แห่งของประเทศ มีเจ้าหน้าที่ไม่มาปฏิบัติงานถึงร้อยละ 20–40 ส่งผลให้ระบบการบินเข้าสู่ภาวะเสี่ยงสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ดัฟฟีกล่าวปิดท้ายว่า หน่วยงานการบินจำเป็นต้องจำกัดการปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์ในบางช่วงเวลา เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบการบินพลเรือนในช่วงวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งเขาย้ำว่า “นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องเลือกความปลอดภัยเหนือทุกสิ่ง.”