สภาธุรกิจไทย-เมียนมา (TMBC) ได้ลงนามความร่วมมือกับสามสมาคมสำคัญของเมียนมา ได้แก่ สมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM), สภาธุรกิจเมียนมา-ไทย (MTBC) ภายใต้สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา (UMFCCI) และสมาคมผู้ประกอบการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของเมียนมา (MIFFA) โดยพิธีลงนามจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18–19 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงย่างกุ้ง ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือภาคเอกชนไทย–เมียนมาในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

การลงนามครั้งนี้มุ่งส่งเสริมการค้าการลงทุน เพิ่มช่องทางความร่วมมือ และสร้างกลไกแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่าย โดยทั้งสี่องค์กรเห็นพ้องที่จะจัดประชุมคณะกรรมการร่วมอย่างน้อยปีละสองครั้ง รวมถึงร่วมกันจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมธุรกิจ การค้า การขนส่ง และการลงทุน เพื่อพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว

ในเชิงผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็น “โอกาสเชิงกลยุทธ์” สำหรับผู้ประกอบการไทย เนื่องจากช่วยสร้างช่องทางสื่อสารกับภาคเอกชนเมียนมาโดยตรง ทำให้สามารถติดตามทิศทางตลาด ความต้องการสินค้า และแนวทางพัฒนาธุรกิจได้แม่นยำขึ้น พร้อมทั้งช่วยเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มโอกาสการเจรจาและการจับคู่ธุรกิจในอนาคต ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขยายการค้าและการลงทุนของไทยในเมียนมาอย่างมีนัยสำคัญ

แม้เมียนมาจะยังมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งสถานการณ์ภายในประเทศ ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบการนำเข้า การขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) การจับคู่กับรายได้ส่งออก (Export Earning) รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ แต่ตลาดเมียนมายังคงมีศักยภาพสูง เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าไทยและให้ความนิยมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ระบบขนส่งบางเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ เช่น ด่านเมียวดี–แม่สอด (สะพานมิตรภาพ 2) ที่ปิดชั่วคราวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ยังสามารถใช้เส้นทางทดแทนได้ เช่น ท่าเรือระนอง–ย่างกุ้ง ท่าเรือแหลมฉบัง–ย่างกุ้ง หรือด่านแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก เพื่อให้การค้าไม่สะดุด

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต.ย่างกุ้ง) ยืนยันพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด ฝ่าความท้าทายด้านกฎระเบียบและสถานการณ์ พร้อมผลักดันให้ธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือครั้งนี้ได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างการเติบโตของการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเมียนมาอย่างยั่งยืนในระยะต่อไป.