บลูมเบิร์กรายงานว่า การส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม 2568 เพิ่มสูงขึ้นแตะระดับเกือบ 51 ตัน ถือเป็นปริมาณสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และตอกย้ำถึงความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ในอัตรา 39%
ตัวเลขการส่งออกล่าสุดถือว่าพุ่งขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่มีเพียงไม่ถึง 0.3 ตัน แม้ว่าสถิติสูงสุดในปีนี้จะยังคงอยู่ที่เดือนมกราคมซึ่งสวิตเซอร์แลนด์ส่งออกทองคำไปยังสหรัฐมากถึง 193 ตัน แต่ความเคลื่อนไหวในเดือนกรกฎาคมก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลสวิสและทำให้ตลาดทองคำโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด
มูลค่าการส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนกรกฎาคมสูงถึงกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นมากกว่าสองในสามของดุลการค้าส่วนเกินที่สวิตเซอร์แลนด์มีกับสหรัฐในไตรมาสแรก แม้โรงกลั่นทองคำของสวิสจะครองตลาดโลกเพียงบางส่วน แต่ผลกระทบของอุตสาหกรรมนี้กลับทวีความสำคัญมากขึ้น เมื่อรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์พยายามลดการขาดดุลการค้าและใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือ
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสวิสยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงเกินไปได้ ทว่าการตัดสินใจล่าสุดของทรัมป์ในการขึ้นภาษีทองคำแท่งสร้างความไม่แน่นอนในตลาดและทำให้นักลงทุนจำนวนมากเร่งเก็งกำไร โดยการส่งออกทองคำจำนวนมหาศาลเมื่อต้นปีนี้มีสาเหตุสำคัญจากการคาดการณ์ว่าภาษีใหม่อาจส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดสหรัฐพุ่งสูง
โรงกลั่นทองคำของสวิตเซอร์แลนด์จึงกลายเป็นกลไกหลักในการตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ เนื่องจากผู้ค้าทองคำในยุโรปจำเป็นต้องนำทองคำแท่งมาตรฐานขนาด 400 ออนซ์จากตลาดลอนดอนมาหลอมใหม่เป็นทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมหรือ 100 ออนซ์ ตามข้อกำหนดของตลาด Comex ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กระบวนการดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณการส่งออกของสวิสเพิ่มสูงในช่วงแรกของปี ก่อนที่กระแสจะพลิกกลับในไตรมาสสอง หลังจากที่ทองคำแท่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ส่งผลให้ราคาทองคำในสหรัฐปรับลดลงมาใกล้เคียงกับราคาอ้างอิงในลอนดอน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับมาเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำสั่งเรียกเก็บภาษีทองคำแท่ง ส่งผลให้ตลาดทองคำทั่วโลกปั่นป่วน ก่อนที่ในเวลาต่อมาทรัมป์จะออกมาชี้แจงว่าทองคำจะไม่ได้ถูกเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งยิ่งสะท้อนความไม่แน่นอนทางนโยบายและเพิ่มความกังวลให้กับผู้ค้าในตลาดโลก
ด้านธนาคารกลางสวิสเคยกล่าวถึงประเด็นนี้ตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยเน้นย้ำว่าการส่งออกทองคำปริมาณมากไปยังสหรัฐไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรและความต้องการในตลาดมากกว่าจะสะท้อนภาพการค้ารวมที่แท้จริง