สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% ส่งผลให้ภาษีรวมอยู่ที่ 50% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงต้องปรับภาษีนำเข้าให้เป็นไปตามกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ

ในอดีต สหรัฐฯ เคยสนับสนุนให้อินเดียซื้อน้ำมันดิบรัสเซีย เนื่องจากน้ำมันดิบไม่ได้ถูกคว่ำบาตรเช่นเดียวกับ LNG แต่ต้องซื้อขายภายใต้กรอบราคาที่จำกัดรายได้รัฐบาลมอสโก ข้อมูลจากบริษัท Kpler ระบุว่า อินเดียเป็นหนึ่งในผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด โดยนำเข้าประมาณ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปริมาณส่งออกรวมของรัสเซียราว 3.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่จีนอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

Bob McNally ประธานบริษัท Rapidan Energy Group และอดีตที่ปรึกษาด้านพลังงานทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช มองว่าท่าทีของสหรัฐฯ อาจสร้างความสับสนให้กับอินเดีย เพราะก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยเดินทางไปอินเดียหลังรัสเซียรุกรานยูเครน และขอร้องให้อินเดียซื้อน้ำมันรัสเซียเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันโลก

ในระยะใกล้ ตลาดน้ำมันยังมีความเสี่ยงจากทั้งการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะลดปริมาณการส่งออกน้ำมัน ซึ่งอาจดันราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขึ้นสู่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจไม่รุนแรงนัก

อินเดียยืนยันว่าปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมด และการซื้อน้ำมันจากรัสเซียช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันโลก พร้อมโต้ว่า หากต้องหยุดนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย จำเป็นต้องมีแผนรองรับเพื่อชดเชยอุปทานที่หายไปและป้องกันความผันผวนของตลาดพลังงาน

Giovanni Staunovo นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จาก UBS ให้ความเห็นว่า หากอินเดียลดการซื้อน้ำมันรัสเซีย โรงกลั่นน้ำมันจะหันไปพึ่งแหล่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเช่นเดิม เนื่องจากคุ้นเคยกับการใช้น้ำมันจากภูมิภาคนี้ก่อนปี 2565 และไม่น่าจะมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาแทนที่

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมอินเดียเตือนว่า หากน้ำมันรัสเซียถูกดึงออกจากตลาด ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งทะลุ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อผู้บริโภคทั่วโลกอย่างรุนแรง