โมเดลใหม่ประเทศไทย : ทางออกท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวนและความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์
สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Reimagining Thailand’s Development Model : ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ” เพื่อนำเสนอทิศทางใหม่ที่ประเทศควรเลือกเดิน ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และโครงสร้างภายในประเทศที่กำลังถดถอยต่อเนื่องยาวนาน

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ฯ เปิดเวทีด้วยการชี้ให้เห็นว่า หากไทยต้องการปรับโฉมสู่โมเดลพัฒนาใหม่ ปัญหาที่ต้องเริ่มแก้คือ “อำนาจรัฐที่ล้นเกิน” โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นต้นทางของความล่าช้า การเอื้อประโยชน์ และอุปสรรคต่อการแข่งขัน แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยาก เพราะไม่มีผู้มีอำนาจคนใดอยากลดบทบาทของตนเองลง แต่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของการยกระดับระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ

เขายังกล่าวถึงบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ความตึงเครียดไทย–กัมพูชา ไปจนถึงแรงกระเพื่อมจากสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเชื่อมโยงประเด็นการค้าเข้ากับอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์โดยตรง รัฐบาลไทยจึงต้องเตรียม “เครื่องมือรับมือใหม่” ที่รอบด้านและทันสถานการณ์มากขึ้น

ในเชิงเศรษฐกิจ ดร.ศุภวุฒิเน้นว่ารัฐควรทุ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การผลักดันอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด หรือการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติคล้าย GIC ของสิงคโปร์ เพื่อสะสมผลประโยชน์ระยะยาว เขายังเตือนถึงโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง เมื่อแรงงานจะหายไปถึง 5 ล้านคน ภายในเวลาไม่นาน ในขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีก 7 ล้านคน จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ไทยต้องอัปสกิลแรงงานและกำหนดอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและบริการคุณภาพ ที่ต่อยอดจุดแข็งเดิม “เมืองไทยปลอดภัย อาหารอร่อย สุขภาพดี”

ด้านการต่างประเทศ นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ สะท้อนภาพชัดเจนว่าไทยกำลังเผชิญ “การถดถอยคู่ขนาน” ทั้งเศรษฐกิจและการทูต ตัวชี้วัดหลายด้านถอยหลังตลอด 10–15 ปี ขณะที่ภาพลักษณ์การทูตที่เคยโดดเด่นของไทยในภูมิภาคก็จางหายไปทีละน้อย แม้บทบาทในอาเซียนยังเป็นสิ่งที่ไทยรักษาไว้ได้ แต่ความแข็งแกร่งในเวทีโลกโดยรวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาย้ำว่าไทยต้องมีนโยบายต่างประเทศที่สง่างามและยืนบนผลประโยชน์ของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ชายแดน ปัญหาสิทธิภาษีการค้า และแนวโน้มสหรัฐที่มองเศรษฐกิจควบคู่ความมั่นคงกำลังกลายเป็นความท้าทายใหม่ของไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่การผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงการแข่งขันลดภาษีที่ทำให้ทุกประเทศเสียประโยชน์ ไทยจึงควรคิดนโยบายในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการผลักดันพลังงานสะอาดและโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน รวมทั้งการกำกับธุรกิจเทคโนโลยีต่างชาติให้สร้างประโยชน์จริงแก่สังคมไทย พร้อมกับการยกระดับภาคเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และสุขภาพ ให้เชื่อมเทคโนโลยีและตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เขาย้ำว่า บทบาทของรัฐต้องเปลี่ยนจาก “ผู้ควบคุม” สู่ “ผู้ร่วมพัฒนา” ผ่านการเปิดข้อมูล การสร้างระบบ E-ID ที่น่าเชื่อถือ และตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

บทสรุปส่งท้ายจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ชี้ให้เห็นโครงสร้างปัญหาที่ฝังลึกที่สุดของไทย: ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 20 ปี นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนถี่ เฉลี่ยอยู่ในตำแหน่งเพียงปีกว่า นโยบายจึงไม่ต่อเนื่องจนไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้เลย เขามองว่าทางออกต้องเริ่มจากการปฏิรูปการเมืองและแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีความชอบธรรม ทีมบริหารที่มีประสิทธิภาพ และมีเวลามากพอจะขับเคลื่อนประเทศในระยะยาว