โลจิสติกส์สีเขียว: โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจเกิดใหม่
ภาคโลจิสติกส์กำลังก้าวสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของโลก เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตของอีคอมเมิร์ซได้ผลักดันให้ความต้องการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดโลจิสติกส์ทั่วโลกอาจทะลุเกิน 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2571 ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมนี้ยังเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของการปล่อยทั้งหมด นำมาซึ่งโจทย์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกประเทศต้องเร่งรับมือ
ภาคโลจิสติกส์ซึ่งเป็นกลไกหลักของการค้าโลกและเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 10% ของประชากรโลกกำลังเผชิญแรงกดดันสามด้าน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้า ความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ความท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังต้องการการยกระดับ ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และข้อกำหนดด้านการลดคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการขนส่งทางถนนและทางรางที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วตามกระแสอีคอมเมิร์ซ ซึ่งถูกประเมินว่าจะขยายตัวมากกว่า 2.7 เท่าภายในปี 2593
จากบริบทดังกล่าว แนวคิด “โลจิสติกส์สีเขียว” จึงถูกหยิบยกขึ้นเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยให้ภาคโลจิสติกส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้พร้อมกัน รายงาน Green Logistics Innovation for Emerging Markets: Driving Competitiveness and Shared Value ได้ตีแผ่ว่า นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในโลจิสติกส์มีศักยภาพครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เชื้อเพลิงสะอาดและยานยนต์พลังงานทางเลือก ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้งหมดนี้สะท้อนโอกาสใหม่ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงไทย ซึ่งสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
สำหรับประเทศไทย บทบาทในฐานะศูนย์กลางการค้าและการผลิตของอาเซียนทำให้ประเทศมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการก้าวสู่ระบบโลจิสติกส์สีเขียว การลงทุนขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การพัฒนาระบบราง รถไฟทางคู่ และท่าเรือน้ำลึก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานวิจัยด้านโลจิสติกส์ต่างชี้ให้เห็นความพยายามร่วมของภาครัฐและเอกชนในการนำแนวคิดสีเขียวมาใช้ ตั้งแต่การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบติดตามเส้นทาง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนและลดการใช้พลังงานระหว่างการขนส่ง
เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง มีการเสนอ “พิมพ์เขียว 4 ขั้น” ที่ทุกฝ่ายสามารถนำไปใช้ร่วมกันได้ ขั้นแรกคือการสร้างกรอบนโยบายที่บูรณาการและชัดเจน โดยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ระดับชาติไปสู่แผนการทำงานเฉพาะภาคธุรกิจ พร้อมมาตรการจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว ขั้นต่อมาคือการผลักดันกลไกการระดมทุนสีเขียว ทั้งจากภาครัฐ นักลงทุนเอกชน ไปจนถึงการใช้รูปแบบการเงินผสม เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น
การยกระดับทักษะของแรงงานถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะการจัดการโลจิสติกส์สมัยใหม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านดิจิทัลและการคำนวณคาร์บอนอย่างแม่นยำ การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบโจทย์จริงในอุตสาหกรรมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายคือความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ ทั้งภาครัฐ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เจ้าของสินค้า สถาบันการเงิน และภาควิชาการ ซึ่งต้องจับมือกันกำหนดมาตรฐานร่วม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแบ่งปันข้อมูล เพื่อเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีสีเขียวในวงกว้าง
ท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านสู่โลจิสติกส์สีเขียวในระดับโลกไม่อาจเกิดขึ้นได้จากผู้เล่นรายใดรายหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยการประสานพลังจากทั้งห่วงโซ่คุณค่า การกำหนดกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน การสนับสนุนด้านเงินทุน และการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจังคือรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมกับความยั่งยืนของโลกในระยะยาว

