ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก การเคลื่อนไหวด้านนโยบายการคลังของสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งแรงกระเพื่อมต่อแนวโน้มการลงทุนระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีแนวคิดการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สู่ระดับ 36% ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค
นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และผู้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าขณะนี้ ยังไม่พบสัญญาณที่ชัดเจนของการถอนการลงทุนหรือการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย แม้จะมีบางกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างประเมินทางเลือก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในภาวะที่ตลาดโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยยังไม่ได้เจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 90 วันที่ประกาศไว้
เขาชี้ให้เห็นว่า ความกังวลของหลายหน่วยงานที่ประเมินว่าการลงทุนในไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็นการตั้งสมมติฐานเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น คล้ายกับแพทย์ที่ต้องเตือนญาติคนไข้ให้พร้อมสำหรับทุกความเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้เกิดความประมาท
แม้การจับตาสถานการณ์ในระยะสั้นจะมีความสำคัญ แต่ในเชิงโครงสร้างประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐาน ระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงคล่องตัว แรงงานฝีมือที่มีคุณภาพ และตำแหน่งที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นกลางในด้านภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแต้มต่อที่ช่วยให้ไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
ในส่วนของ กนอ. เอง ได้มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเพื่อสนับสนุนการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเร่งเดินหน้ามาตรการเชิงรุกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของนิคมอุตสาหกรรมในหลายด้าน ทั้งการขยายตลาดใหม่ การพัฒนาคุณภาพบริการ และการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นายธนวัฒน์ย้ำว่า การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมเป็นการตัดสินใจระยะยาว ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการจะถอนตัวได้ง่าย ๆ และขณะที่การเจรจายังอยู่ในช่วง 90 วัน กนอ. ก็พร้อมทำหน้าที่เป็นแนวหลังทางข้อมูลเพื่อเสริมทัพทีมเจรจา รวมถึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจากทั่วโลก
จากกรณีตัวอย่างของประเทศอย่างญี่ปุ่นที่สามารถต่อรองและจัดการกับประเด็นด้านภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไทยเองสามารถใช้เป็นบทเรียนสำคัญในการวางกลยุทธ์ นายธนวัฒน์ยังมองว่า ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ไทยยังคงมีเวลาในการตั้งรับ เตรียมพร้อม และวางแผนอย่างรอบคอบ
ท้ายที่สุด เขาเน้นว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค พร้อมย้ำว่า ความมั่นคงของนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับภาษี แต่รวมถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพ ความโปร่งใส และศักยภาพในระยะยาวของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ กนอ. มุ่งมั่นจะรักษาและผลักดันต่อไป
ที่มา - bangkokbiznews