การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนจีนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการส่งออกยางพาราของไทย หลังจากได้ข้อสรุปสำคัญร่วมกับบริษัท ม่านเล่ย์ ในมณฑลสิบสองปันนา และบริษัท United Logistics Corporation ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการด้านการขนส่ง โดยทั้งหมดเห็นพ้องร่วมกันในการใช้เส้นทางแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงยางพาราไทยเข้าสู่ตลาดจีน

การหารือดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่สำนักงานใหญ่ กยท. โดย ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. ให้การต้อนรับ Mr. Yan Han ที่ปรึกษาของบริษัท ม่านเล่ย์ ซึ่งเปิดเผยว่า ความคืบหน้าในฝั่งจีนได้มีการประสานงานกับรัฐบาลจีนจนบรรลุผลสำเร็จในการผลักดันให้ยางพาราที่ส่งออกจากไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าในอัตรา 0% การผ่อนปรนดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของยางพาราไทยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง อีกทั้งยังเป็นแรงส่งให้ตลาดยางพาราในจีนมีการขยายตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในด้านการดำเนินงาน กยท. ได้วางแผนทดสอบระบบการขนส่งล็อตแรกในเดือนกันยายนนี้ โดยจะส่งออกยางก้อนถ้วยจำนวน 400 ตัน ผ่านเส้นทางแม่น้ำโขงไปยังจีน เพื่อเป็นการนำร่องและทดสอบความพร้อมในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการขนถ่ายสินค้าลงเรือ การบริหารจัดการระหว่างการเดินทาง รวมถึงการดำเนินพิธีการศุลกากรทั้งฝั่งไทยและจีน ซึ่งประสบการณ์จากการทดสอบในครั้งนี้จะถูกนำมาใช้ปรับปรุงกระบวนการขนส่งในเชิงพาณิชย์

แผนงานในระยะถัดไป กยท. ตั้งเป้าเริ่มต้นการขนส่งเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในเดือนตุลาคม 2568 โดยเพิ่มปริมาณการส่งออกเป็น 2,400 ตัน และจะขยายสัดส่วนการส่งออกให้มากกว่า 10,000 ตันต่อเดือนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งการที่ยางพาราไทยได้รับสิทธิภาษีนำเข้า 0% จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ ตลอดจนยกระดับราคายางพาราไทยให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

ดร.เพิก ย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างช่องทางการค้ารูปแบบใหม่ที่สะดวกและคุ้มค่าเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับจีน โดยการใช้เส้นทางแม่น้ำโขงถือเป็นกลไกสำคัญในการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และยังเป็นทางเลือกใหม่ในการกระจายสินค้าไปยังพื้นที่ตอนในของจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยแผนการดังกล่าว กยท. เชื่อมั่นว่าโครงการส่งออกยางพาราผ่านแม่น้ำโขงในครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยางพาราไทย ทั้งในด้านการยกระดับมูลค่า การขยายตลาด และการสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยางในระยะยาว