กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเดินหน้าจัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2571 - 2575)” เพื่อเป็นแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่แทนที่แผนเดิมซึ่งจะสิ้นสุดลงในปี 2570 โดยมุ่งเน้นการยกระดับความเข้มแข็งของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ อำนวยความสะดวกในการค้าสินค้าระหว่างประเทศ และนำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนระบบเกษตรสมัยใหม่
นายวินิต อธิสุข รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรครั้งแรกของปี 2568 ว่า ที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เช่น การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ (e-Phyto Certificate) และการอนุญาตผ่านระบบ Single Submission ที่ช่วยลดขั้นตอนการดำเนินงานลงอย่างมาก
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางรถไฟสายไทย–ลาว–จีน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายสำคัญในการขนส่งสินค้าเกษตรระหว่างประเทศ รวมถึงข่าวดีจากการเจรจากับรัฐบาลจีนที่ยอมเปิดเพิ่มด่านนำเข้าสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยอีก 3 แห่ง ได้แก่ ด่านทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และด่านบ้านฮวก จังหวัดพะเยา ซึ่งจะช่วยกระจายเส้นทางการค้าผลไม้ไปยังตลาดจีนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
กระทรวงเกษตรฯ ยังเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญที่ดำเนินมาแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้ก้าวสู่ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว การจัดทำต้นทุนโลจิสติกส์ของสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ตลอดจนการพัฒนาระบบขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาคุณภาพสินค้าเกษตรไทย
สำหรับแผนใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2571 จะเน้นการยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการให้สามารถบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลด้านโลจิสติกส์การเกษตรของประเทศให้เป็นระบบและใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อตอบโจทย์การแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเตรียมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Focus Group) ในพื้นที่ 4 ภาคทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงราย สงขลา หนองคาย และชลบุรี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ ก่อนจะสรุปและจัดทำร่างแผนฉบับสมบูรณ์ต่อไป