ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Dr.KOB” ถึงความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้าระหว่างอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ข้อสรุปว่า สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียที่อัตรา 19% เท่านั้น ลดลงจากระดับเดิมที่ 32% โดยดร.กอบศักดิ์ชี้ว่านี่คือผลของ “Great Deal” ที่เกิดขึ้นจากการเจรจาที่ตอบโจทย์ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน และสะท้อนแนวทางที่ประเทศอื่น รวมถึงไทย อาจต้องพิจารณาเดินตาม
ในรายละเอียดของข้อตกลง อินโดนีเซียตกลงให้สหรัฐสามารถเข้าถึงตลาดในประเทศที่มีประชากรกว่า 280 ล้านคนแบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีอุปสรรคทางภาษีหรือไม่ใช่ภาษี พร้อมทั้งเสนอซื้อสินค้าจากสหรัฐในวงเงินมหาศาล ครอบคลุมทั้งพลังงาน มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรอีก 4,500 ล้านดอลลาร์ และยังสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing จำนวน 50 ลำ โดยส่วนใหญ่เป็นรุ่น 777 นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของสหรัฐเข้าสู่อินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี ขณะที่สินค้าอินโดนีเซียไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเดิมและดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
ดร.กอบศักดิ์ระบุว่า ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่สะท้อนชัดถึงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการ “Total and Free Access” สำหรับสินค้าของตน แลกกับการลดภาษีให้ประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่เวียดนามเคยบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐมาก่อนหน้า โดยเวียดนามได้รับภาษีในระดับ 20% นับเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้ดีลลักษณะนี้ และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่สองที่ประสบความสำเร็จในการต่อรองลดภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่น่ากังวลคือ ปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน-5 ที่ยังคงถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่า 30% โดยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 20% มาเลเซียกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาลดเหลืออย่างน้อย 20% ขณะที่สิงคโปร์แม้จะอยู่ที่ 10% ก็อาจถูกปรับขึ้นในอนาคตให้เทียบเคียงกับกลุ่มประเทศอื่นที่ถูกปรับเพิ่มพร้อมกันกว่า 100 ประเทศ
ดร.กอบศักดิ์เน้นย้ำว่า แม้สหรัฐจะส่งสัญญาณความไม่พอใจต่อไทยมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากไทยสามารถเสนอ “Great Deal” ที่สหรัฐเห็นว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์เชิงเศรษฐกิจ จึงเป็นจุดที่ทุกภาคส่วนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ไทยจะสามารถลดช่องว่างทางภาษีกับประเทศคู่แข่งลงมาได้มากน้อยเพียงใด เพราะอัตราภาษีที่สูงกว่าคนอื่นจะส่งผลอย่างมีนัยในทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก