ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการทูตและเศรษฐกิจ เมื่อทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้กัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์สินค้าขาดแคลนอย่างหนักในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังเริ่มปิดด่าน
กัมพูชาประกาศปิดด่านสำคัญโดยไม่แจ้งล่วงหน้าในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ด่านบ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าหลัก ทำให้รถบรรทุกสินค้าจากฝั่งไทยไม่สามารถข้ามแดนได้ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุนเซน เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างตนกับนายกรัฐมนตรีของไทย ทำให้นายกรัฐมนตรีฝ่ายไทยต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น
แม้ว่ากัมพูชาจะตั้งเงื่อนไขหลายประการในการรับมือ หากไทยไม่เปิดด่านกลับ เช่น การแบนสินค้าไทย การหาตลาดใหม่รองรับสินค้าเกษตร ส่งผู้ป่วยไปรักษาในประเทศอื่น และการเรียกแรงงานกลับจากไทย แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏภายในไม่กี่วันหลังปิดด่านชี้ให้เห็นว่า มาตรการของรัฐบาลกัมพูชาเริ่มส่งผลกระทบภายในประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าจากไทย
นมสดยี่ห้อเมจิซึ่งเป็นที่นิยมในกัมพูชาเริ่มขาดตลาดทันที เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น แม้จะมีความพยายามนำเข้านมจากเวียดนามทดแทน แต่ราคาที่สูงกว่าทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบการลักลอบขนนมเมจิเข้ามาในกัมพูชา เช่นกรณีเมื่อเช้าวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2B-7437 บ้านใต้มีชัย ถูกจับกุมในเขตอำเภอมาลัยพร้อมนมเมจิ 496 ขวด พร้อมผู้ต้องสงสัย 2 ราย ซึ่งสารภาพว่านำเข้านมจากคลังในไทย
ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการเริ่มเปลี่ยนไป โดยมีการหาทางลำเลียงสินค้าอ้อมผ่านประเทศลาว สินค้าจากฝั่งอุบลราชธานีถูกส่งผ่านด่านช่องเม็ก เข้าสู่ลาว แล้วเข้าสู่กัมพูชาทางภาคเหนือ ก่อนกระจายสู่กรุงพนมเปญ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปิดด่านทางตรงกับไทย
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชาได้ออกประกาศรายการสินค้าจากประเทศไทยที่ห้ามนำเข้า โดยจำกัดเฉพาะผัก ผลไม้ และน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทเท่านั้น เช่น เบนซิน ดีเซล แก๊ส LPG และ LNG ขณะที่สินค้าประเภทอื่นสามารถนำเข้าได้ตามปกติ หากดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดผ่านจุดข้ามแดนที่ได้รับอนุญาต
แม้ว่ากัมพูชาจะเคยประกาศแบนสินค้าไทยอย่างแข็งกร้าว แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เช่น การแจกจ่ายสินค้าเกษตรฟรีที่เคยเตรียมส่งออก การขาดแคลนสินค้าในท้องตลาด และภาพของเจ้าหน้าที่กัมพูชายังคงใช้สินค้าจากไทย ต่างสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของมาตรการแบนดังกล่าว ที่ไม่อาจทดแทนการพึ่งพาไทยในระยะเวลาอันสั้นได้จริง
ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ของไทย ได้พิจารณาผ่อนปรนมาตรการควบคุมการผ่านแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน โดยอนุญาตให้ยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับภารกิจมนุษยธรรม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าออกผ่านพรมแดนได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมเป็นต้นไป
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากสถานการณ์ภายในกัมพูชาที่ไม่สามารถแบกรับภาระของการแบนสินค้าไทยได้อย่างยาวนาน แม้รัฐบาลพยายามรักษาหน้าด้วยการตั้งเงื่อนไขและเลือกแบนบางรายการ แต่ก็ต้องยอมผ่อนปรนเพื่อนำเข้าสินค้าที่จำเป็นกลับเข้าประเทศ การฟื้นคืนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและกัมพูชาจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในระดับรัฐบาล และจะเป็นตัวแปรชี้วัดความยั่งยืนของเสถียรภาพภายในของทั้งสองประเทศต่อไป