สถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบันกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงโครงการคมนาคมขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจสำคัญของนโยบายรัฐบาล โดยจุดเปลี่ยนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยมติ 6 ต่อ 3 กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา คำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ขณะที่การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แม้พรรคเพื่อไทยยังเดินหน้าสู้ แต่การที่พรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณพร้อมตั้งรัฐบาลแข่ง โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นำทีม อาจทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งนี้ทำให้โครงการเรือธงของพรรคเพื่อไทยหลายโครงการต้องเผชิญความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะนโยบาย “ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ซึ่งเพิ่งเริ่มใช้ในสายสีแดงและสายสีม่วง และกำลังจะขยายครอบคลุมรถไฟฟ้าอีก 10 สายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ครอบคลุมระยะทางกว่า 276 กิโลเมตร 194 สถานี รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิ์ผ่านแอปตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มียอดผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 2.5 แสนราย และตั้งเป้าเริ่มใช้จริงวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ แม้จะเลื่อนมาจากกำหนดเดิมวันที่ 1 ตุลาคมก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวยังติดปัญหาหลักคือความล่าช้าของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และการแก้ไข พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 แม้ทั้งหมดผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่ยังรอการพิจารณาของวุฒิสภา ขณะเดียวกันยังต้องแก้ไขสัญญาสัมปทานกับเอกชนผู้ให้บริการทั้ง BTS และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ซึ่งประเด็นการชดเชยรายได้ยังเจรจากันไม่ลงตัว รัฐประเมินว่าต้องใช้งบอุดหนุนราว 8,000 ล้านบาทต่อปีเพื่อให้โครงการเดินหน้า
อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือ “บ้านเพื่อคนไทย” ที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งใจใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยนำร่อง 4 ทำเล รวมกว่า 5,700 ยูนิต ให้ประชาชนผ่อนชำระเริ่มต้นเพียงเดือนละ 4,000 บาท สิทธิการถือครอง 99 ปี แต่การผลักดันโครงการกลับติดปัญหากฎหมายทรัพย์อิงสิทธิที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ขณะที่ความต้องการจากประชาชนมีมหาศาล มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 260,000 คน และกว่า 136,000 คนผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ แต่อนาคตโครงการยังแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน หากรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว โครงการอาจถูกพับไปทันที
นอกจากนี้ โครงการเมกะโปรเจกต์ที่มีมูลค่ามหาศาลก็เผชิญความล่าช้าเช่นกัน ทั้ง “รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” มูลค่า 224,544 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง รฟท. และกลุ่มซี.พี. ซึ่งล่าสุดร่างแก้ไขถูกส่งกลับให้อัยการสูงสุดตรวจทานเพิ่มเติม อาจทำให้โครงการเลื่อนไปอีกไม่ต่ำกว่า 1-2 เดือน และยังไม่แน่ว่าจะเริ่มต้นได้ภายในปีนี้หรือไม่ ขณะที่ “โครงการแลนด์บริดจ์” มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท แม้เพิ่งสรุปผลการศึกษาไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีนักลงทุนต่างชาติหลายรายสนใจ แต่ความไม่ชัดเจนของการเมืองและการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้กระบวนการผลักดันต้องสะดุดเช่นกัน
โครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ เช่น รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ทางด่วนใหม่ มอเตอร์เวย์ M8 และการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ต่างก็รอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากเข้าสู่สภาวะยุบสภาหรือรัฐบาลรักษาการเต็มรูปแบบ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะต้องเลื่อนออกไปทั้งหมด
ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้วอาจเผชิญแรงกดดันหนักขึ้น หากเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ไม่สามารถเดินหน้าตามกำหนด เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แต่ยังทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสด้านการแข่งขันในระยะยาว ความล่าช้าของโครงการใหญ่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองจึงอาจกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้ถดถอยยิ่งขึ้น