นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในเวทีเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” ถึงทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทางในเขตเมืองหลวงและปริมณฑล
นโยบายดังกล่าวได้เริ่มทดลองใช้ใน 2 เส้นทาง และพบว่ามีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 30% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนที่แท้จริง กระทรวงคมนาคมจึงเร่งผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับนโยบายนี้อย่างถาวร โดยขณะนี้รัฐสภากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ขนส่งทางราง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งทั้งหมดนี้จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ภายในเดือนหน้า
รัฐมนตรีช่วยฯ ยืนยันว่า การสนับสนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่ได้เป็นการนำภาษีของประชาชนในต่างจังหวัดมาชดเชยให้คนกรุงเทพฯ เพราะในความเป็นจริง เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วนการจัดเก็บภาษีถึง 49% ของประเทศ โดยรัฐบาลมีแนวนโยบายดูแลประชาชนแบบองค์รวมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท เช่น การใช้มาตรการเฉพาะในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคอย่างเหมาะสม
ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการเชื่อมโยงการขนส่งทางบกและทางทะเลที่สำคัญระดับภูมิภาค โดยครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โครงการนี้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ลดต้นทุนขนส่งสินค้าโดยเฉพาะทางทะเล ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางที่มีต้นทุนต่ำที่สุด โดยมีแผนการลงทุนรวมมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ในระยะแรกจะลงทุนกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึก รถไฟทางคู่ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้อย่างราบรื่น โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในโครงการรถไฟทางคู่เพื่อเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์กับประเทศเพื่อนบ้าน และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและโลก