แม้จะเผชิญมรสุมทางการเมืองและความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย แต่กระทรวงคมนาคมยังคงเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือโครงการ “แลนด์บริดจ์” โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ยืนยันว่าโครงการนี้ถือเป็นเมกะโปรเจกต์ระดับชาติที่ทุกรัฐบาลต้องสนับสนุน เนื่องจากเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ของไทย

นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข. เปิดเผยว่า การจัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ที่ระนองและชุมพร พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ แม้จะมีบางกลุ่มแสดงข้อกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน สนข.ยอมรับว่าปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองโลก เช่น เงินเฟ้อหลังโควิด นโยบายการเงินที่เข้มงวดของสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ล้วนทำให้นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น

จากปัจจัยเหล่านี้ สนข.จึงปรับแผนการพัฒนาท่าเรือแลนด์บริดจ์ใหม่ ลดขนาดการก่อสร้างช่วงแรกเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยระยะที่ 1/1 ซึ่งเดิมจะรองรับตู้สินค้าสูงสุด 6 ล้าน TEUs ปรับลดเหลือ 4 ล้าน TEUs ขณะที่เป้าหมายสูงสุดของโครงการยังคงเดิมคือรองรับตู้สินค้าได้ถึง 20 ล้าน TEUs ในอนาคต การปรับแผนดังกล่าวทำให้เม็ดเงินลงทุนรวมลดลงเหลือประมาณ 9.9 แสนล้านบาท จากเดิมที่ประเมินไว้ราว 1 ล้านล้านบาท

สำหรับรูปแบบการลงทุน สนข.อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net cost ภายใต้สัญญาสัมปทาน 50 ปี และใช้หลักการ “One Port Two Sides” เพื่อก่อสร้างและบริหารจัดการพร้อมกันทั้งโครงการในสัญญาเดียว นักลงทุนที่เข้าร่วมจะต้องมีทั้งประสบการณ์ในการบริหารท่าเรือและสายเดินเรือ รวมถึงความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อดึงสินค้าจริงเข้ามาใช้บริการ

สนข.คาดว่าจะใช้เวลา 5–6 เดือนในการจัดทำเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) และตั้งเป้าเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนได้ภายในปี 2569 โดยคาดว่าเฟสแรกจะเปิดให้บริการได้ในปี 2573 ทั้งนี้ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติหลายรายให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจากจีน ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ของไทย เช่น กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ตลอดจนสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ ซึ่งเข้าร่วมรับฟังข้อมูลโครงการแล้ว

แม้โครงการแลนด์บริดจ์ยังต้องเผชิญโจทย์ใหญ่ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ สนข.มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของไทยในการเชื่อมโยงเส้นทางเดินเรือระหว่างสองมหาสมุทร โครงการนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีและก้าวสู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของภูมิภาคในอนาคต