การผ่านวาระแรกของร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท ได้จุดเครื่องจักรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยหนึ่งในกระทรวงที่ได้รับงบลงทุนก้อนโตที่สุด คือกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 261,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 16,700 ล้านบาท หรือราว 6.83%
ในจำนวนนี้เป็นงบลงทุนสูงถึง 230,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 8% พร้อมวางแผนเร่งผลักดันโครงการขนาดใหญ่ 22 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 910,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงการทางหลวง มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และการพัฒนาท่าเรือคลองเตย ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เมื่อเจาะลึกงบในแต่ละหน่วยงาน พบว่า “กรมทางหลวง” ได้รับงบสูงสุดถึง 131,932 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 5,407 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 126,525 ล้านบาท สำหรับโครงการเด่น เช่น มอเตอร์เวย์นครปฐม–ปากท่อ–ชะอำ ระยะที่ 1 มูลค่า 61,154 ล้านบาท และโครงการวงแหวนรอบนอก M9 บางบัวทอง–บางปะอิน วงเงิน 16,000 ล้านบาท รวมถึงแผนขยายทางหลวง และบำรุงรักษาสะพาน มูลค่ากว่า 36,000 ล้านบาท
ด้าน “การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)” ได้งบเพิ่มขึ้นถึง 42.9% รวมกว่า 33,258 ล้านบาท ใช้เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าหลากหลายเส้นทาง เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ วงเงินรวมเกิน 3,700 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์–ศูนย์วัฒนธรรม วงเงินสูงถึง 12,557 ล้านบาท รวมถึงสายสีเหลืองและชมพูที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง
“การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)” แม้จะถูกลดงบลงเหลือ 19,418 ล้านบาท แต่ยังมีโปรเจ็กต์สำคัญหลายรายการ เช่น รถไฟสายสีแดงอ่อน ศิริราช–ศาลายา มูลค่า 15,176 ล้านบาท สายรังสิต–มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลค่า 6,473 ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ เช่น ชุมพร–สุราษฎร์ธานี และ ขอนแก่น–หนองคาย ที่รวมมูลค่ากว่า 59,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีงบจัดสรรให้หน่วยงานอื่นในกระทรวง อาทิ กรมทางหลวงชนบท 53,598 ล้านบาท กรมเจ้าท่า 4,253 ล้านบาท สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม 1,123 ล้านบาท ขณะที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจอย่าง รฟม. การทางพิเศษฯ และ ขสมก. ได้รับงบเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า
จากภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า กระทรวงคมนาคมยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเชื่อว่าหากงบประมาณผ่านขั้นตอนสภาและสามารถประกาศใช้ได้ทันเดือนตุลาคมนี้ จะช่วยผลักดันให้เกิดการจ้างงาน การใช้จ่าย และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ 2569 อย่างแน่นอน