เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสำคัญเพื่อบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืช โดยมุ่งสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ และยกระดับรายได้เกษตรกรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

มาตรการหลักที่ประกาศในที่ประชุมคือการเปิดเสรีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองในช่วงปี 2569–2571 โดยไม่จำกัดปริมาณ และกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 0% ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการใช้ถั่วเหลืองในประเทศอยู่ที่ประมาณ 3.6–4 ล้านตันต่อปี ขณะที่ผลผลิตในประเทศมีเพียง 15,000–16,000 ตันต่อปีเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบ รัฐบาลจะออกกลไกคุ้มครองรายได้ ได้แก่ การประกันราคาถั่วเหลืองในประเทศให้สูงขึ้นไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 1 บาท และสนับสนุนค่ารวบรวมผลผลิตผ่านสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนกิโลกรัมละ 2 บาท

นอกจากนี้ ยังมีการบริหารจัดการโควตาการนำเข้ากากถั่วเหลืองระหว่างปี 2568–2570 ปริมาณ 230,559 ตัน ภายใต้พันธกรณีขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยกำหนดอัตราภาษีในโควตา 10% และนอกโควตา 133% รวมถึงกำหนดให้กากถั่วเหลืองที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อการบริโภคของมนุษย์ต้องเป็นชนิด Non GMO เช่น ซอสหรือซีอิ๊ว เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ

สำหรับสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพืชน้ำมัน ที่ประชุมยังเห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้ามะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง มะพร้าวฝอย น้ำมันมะพร้าว รวมถึงแฟรกชัน ในช่วงปี 2569–2571 ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) และพันธกรณี WTO โดยจะเน้นการบริหารสมดุลอุปสงค์–อุปทานภายในประเทศ เพื่อป้องกันความผันผวนของราคาและลดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว

นายฉันทานนท์กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้มาตรการเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลรายสินค้า โดยมีตัวแทนจากภาครัฐ เกษตรกร และเอกชนเข้าร่วม อาทิ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน ส่วนคณะอนุกรรมการกำกับดูแลเมล็ดถั่วเหลืองมีเลขาธิการ สศก. ทำหน้าที่ประธาน

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงการวางระบบบริหารจัดการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชตลอดห่วงโซ่อุปทานครบวงจร โดยสอดคล้องกับพันธกรณีการค้าระหว่างประเทศ และยังสร้างความมั่นใจได้ว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีวัตถุดิบเพียงพอ ขณะเดียวกันเกษตรกรไทยก็จะมีกลไกดูแลที่ชัดเจน เพื่อยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม