นอกจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่ทยอยเปิดแผนและทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 แล้ว ฟากยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งระดับโลกอย่าง DHL และ FedEx ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาไม่แพ้กัน เพราะต่างพร้อมใจกันขยายธุรกิจในเมืองไทย รับกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี
เริ่มกันที่ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย (DHL Global Forwarding Thailand) ในเครือ DHL Group ที่ประกาศเปิดตัวศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล “DHL International Multimodal Hub” ในพื้นที่ใหม่ขนาด 480 ตารางเมตร ภายในศูนย์การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ณ เขตปลอดอากร 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล
โดยศูนย์การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ หรือ Multimodal Transportation Center นั้น จัดตั้งขึ้นโดย บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) ร่วมกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และกรมศุลกากรไทย ในพื้นที่ของสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและยกระดับอุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค
สำหรับศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล “DHL International Multimodal Hub” ของดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย ณ เขตปลอดอากร 3 สนามบินสุวรรณภูมินั้น มาด้วยจุดแข็งการเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายเดียวที่พร้อมด้วยคลังสินค้าพิเศษภายในศูนย์ ทำให้สามารถให้บริการขนส่งแบบผสมผสานได้ครบวงจร ตอบโจทย์การขนส่งหลายรูปแบบหรือ Multimodal ทั้งการขนส่งทางรถ ทางอากาศ และทางทะเล
ถ้าลงในรายละเอียดยังพบว่า นอกจากรูปแบบการขนส่งที่ยืดหยุ่นแล้ว DHL International Multimodal Hub ยังมีการยกเว้นเอกสาร Exporter of Record / Importer of Record สำหรับการขนส่งผ่านแดนและการขนส่งแบบหลายรูปแบบ มีบริการขั้นตอนทางศุลกากรตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการจัดการสินค้าที่ต้องการเอกสารเฉพาะและการอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีและอากรในท้องถิ่น
“หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของ DHL International Multimodal Hub คือ การเป็นศูนย์กลางขนส่งแบบครบวงจรลูกค้าสามารถดำเนินกระบวนการศุลกากรได้อย่างรวดเร็วภายในกรุงเทพฯ ลดขั้นตอนการเดินทางเพื่อไปดำเนินการยังจุดชายแดน ทำให้สินค้าถึงมือผู้รับปลายทางได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการขนส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ” วินเซนต์ ยง กรรมการผู้จัดการของ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย กล่าว
ที่มากกว่านั้นดูเหมือนว่า ดีเอชแอลกำลังขยายการเติบโตโดยผลักดันการเชื่อมโยงทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้แข็งแกร่งและไร้รอยต่อ ผ่านการใช้เครือข่าย DHL Asiaconnect และ DHL Asiaconnect+ ซึ่งเป็นเครือข่ายการขนส่งแบบ LTL (Less Than Truckload) ของดีเอชแอลด้วยใช้ศูนย์กลางการขนส่งแบบครบวงจรที่ประเทศไทยเป็นฐานสำคัญ ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดจีน และจีน เป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ สปป. ลาว ด้วยแนวคิดเปลี่ยน Landlock สู่ Landlink ที่เน้นการขนส่งทางถนนอันเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันการขนส่งแบบมัลติโมดอลของดีเอชแอล
“ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความสามารถในการขนส่งที่จำกัด อัตราค่าขนส่งทางทะเลและทางอากาศที่สูง รวมถึงการปิดท่าเรือและสนามบิน ได้ผลักดันให้ลูกค้าหันมาใช้การขนส่งทางถนนมากขึ้น และเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ลูกค้าก็ยังคงเห็นถึงความสำคัญของการขนส่งทางถนน
โดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ การขนส่งทางถนนมีบทบาทสำคัญในโซลูชันการขนส่งแบบมัลติโมดอลโดยเฉพาะเมื่อต้องขนส่งสินค้าภายในภูมิภาคหรือกับประเทศจีน การขนส่งสินค้าผ่านรูปแบบการขนส่งแบบผสม เช่น ทางรถไฟและทางถนน สามารถช่วยลดระยะเวลา Door-to-Door (DTD) ได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล และมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางอากาศ” บรูโน เซลโมนี รองประธานฝ่ายการขนส่งทางถนนและโซลูชันมัลติโมดอล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ดีเอชแอล โกลบอล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เสริม
ฟาก เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หรือ FedEx ก็ไม่น้อยหน้า ล่าสุดเดินหน้าขยายศูนย์บริการแห่งใหม่ สาขาแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ให้บริการครบวงจรด้านการส่งพัสดุและโลจิสติกส์ โดยการขยายศูนย์บริการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการรองรับความต้องการของธุรกิจนำเข้าและส่งออกในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเป้าหมายในการขยายสู่ระดับสากล
ศูนย์กระจายสินค้าและให้บริการแห่งใหม่สาขาแหลมฉบัง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4,900 ตารางเมตร มีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบสี่เท่าของขนาดเดิม มาพร้อมเทคโนโลยีการจัดการพัสดุขั้นสูง และระบบการคัดแยกที่สามารถคัดแยกพัสดุได้สูงสุดถึง 3,000 ชิ้นต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมีคลังสินค้าขนาด 4,560 ตารางเมตร เพื่อรองรับการขนส่งหลากหลายรูปแบบ ทั้งการขนส่งทางเครื่องบิน ทางเรือ และทางรถที่ร่วมกับ เฟดเอ็กซ์ โลจิสติกส์ เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมในการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก อีกทั้งยังมีบริการเหมารถสำหรับเข้ารับสินค้า/นำส่งสินค้า, บริการตีลังไม้, บริการรมยา (Fumigation), บริการจัดเรียงสินค้าบทพาเลท, บริการช่วยเหลือ ณ สถานที่ของลูกค้า (On-dock Support) และบริการจัดส่งสินค้าอันตราย เพื่ออุดช่องว่างของตลาด
ความน่าสนใจคือศูนย์บริการแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใจกลางเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บริเวณ ปิ่นทอง โลจิสติกส์ ปาร์ค ทำให้การเข้าถึงพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญเป็นไปได้สะดวก พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการให้บริการรับ-ส่งพัสดุและสินค้าถึงมือผู้รับในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับเฟดเอ็กซ์ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
“การขยายศูนย์บริการสาขาแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเพิ่มการเข้าถึงของลูกค้าในตลาดสากล และเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์แห่งอาเซียน” ศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว
ทางเฟดเอ็กซ์มั่นใจว่าศูนย์บริการแห่งใหม่จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งคิดเป็น 15.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP) โดยมีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนใหม่มูลค่า 5 แสนล้านบาท พร้อมทั้งเพิ่ม GPP ให้เติบโต 6.3% ระหว่างปี 2566-2570
ปัจจุบันเฟดเอ็กซ์ถือเป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ให้บริการมากกว่า 220 ประเทศและเขตปกครอง โดยในส่วนของบริษัท เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย มีศูนย์บริการรับส่งพัสดุทั้งหมด 20 แห่ง และสถานีเฟดเอ็กซ์อีก 14 แห่ง
ในขณะที่ดีเอชแอลมีการขนส่งทั้งทางถนน อากาศ และทะเล ไปจนถึงการบริหารจัดการซัปพลายเชนอุตสาหกรรม โดยขนส่งไปยัง 220 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก รวมถึง 10 ประเทศในอาเซียน สำหรับ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ประกอบด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้าอีก 3 แห่ง พื้นที่รวม 8,480 ตารางเมตร ซึ่งหลังจากนี้ คาดว่าน่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของ 2 ยักษ์ใหญ่ด้านขนส่งตามมาอีกอย่างแน่นอน
ที่มา - gotomanager