สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เริ่มต้นขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงขยายวงสู่ความขัดแย้งด้านการค้าระดับโลก หลังสหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากคู่ค้าต่าง ๆ ในอัตรา 10-50% มีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา โดยไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ส่วนจีนได้รับการขยายเวลาการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 30% ออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568
สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลว่าสินค้าจีนอาจไหลทะลักเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า ในปี 2567 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 1.6 ล้านล้านบาท และปี 2568 มีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 1.7–1.8 ล้านล้านบาท แม้ผลกระทบจากภาษี 30% ที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนยังไม่ปรากฏชัดในปีนี้ แต่หากสหรัฐคงภาษีนำเข้าไว้ที่ระดับนี้หรือสูงกว่าในอนาคต จะส่งผลให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า และสินค้าจีนจะหลั่งไหลเข้ามาในตลาดไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2569–2571
สินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากจีนในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และเสื้อผ้า คิดเป็น 70–80% ของการนำเข้า ส่วนอีกประมาณ 20% เป็นสินค้าเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ และปุ๋ย ขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนมีมูลค่าไม่สูงนัก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น ผลไม้สดและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง มันสำปะหลัง และไก่
รศ.ดร.อัทธ์ ยังเตือนว่า ปริมาณสินค้าจีนที่ทะลักเข้าไทยอาจนำไปสู่การสวมสิทธิ (Transshipment) โดยสินค้าจีนถูกแปลงถิ่นกำเนิดเป็น “เมด อิน ไทยแลนด์” เพื่อส่งออกไปสหรัฐ หากเกิดขึ้นจริง สหรัฐอาจเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าเหล่านี้สูงถึง 40% เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดกับเวียดนาม ซึ่งหน่วยงานไทยจึงจำเป็นต้องเข้มงวดในการตรวจสอบย้อนกลับถิ่นกำเนิดสินค้า
ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปัจจุบันมีสินค้า 49 รายการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการสวมสิทธิ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ฮาร์ดดิสก์ ล้อเหล็ก ท่อเหล็ก ยางรถยนต์ สายไฟ กระปุกเกียร์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และของใช้ตกแต่งต่าง ๆ โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องยื่นตรวจสอบถิ่นกำเนิดก่อนการออกหนังสือรับรอง Form C/O
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความกังวลว่าสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้นจะยิ่งกดดันอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีอย่างน้อย 30 อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หลังจากปีก่อนมีเพียง 24 อุตสาหกรรม
เขาระบุว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่เพียง 60% ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นที่ 75–80% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลพวงของนโยบายการเก็บภาษีของสหรัฐตั้งแต่ “ทรัมป์ 1.0–2.0” และกระแสสินค้าจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดไทย
นอกจากนี้ นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอกลุ่มบริษัท EfraStructure ชี้ว่าการค้าออนไลน์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางสำคัญในการกระจายสินค้าจีนเข้าสู่ภูมิภาค รัฐบาลไทยจึงต้องบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร ตำรวจสอบสวนกลาง กระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee Lazada และ TikTok Shop ในการตรวจสอบและกวาดล้างสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมผลักดันกฎหมายและระบบตรวจสอบที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดและเอาเปรียบผู้บริโภค
สถานการณ์ภาษีสหรัฐ–จีนที่ยังไม่แน่นอน และกระแสสินค้าจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในไทย จึงไม่เพียงสร้างแรงกดดันต่อภาคอุตสาหกรรม แต่ยังอาจกลายเป็นโจทย์ใหญ่ด้านนโยบายเศรษฐกิจการค้าของไทยในระยะยาว