สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาแล้ว ในวันอังคารที่ 4 มี.ค. 2568 หลังจากเลื่อนมา 1 เดือน และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% เพิ่มเติมจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ที่พวกเขาเริ่มบังคับใช้เมื่อ 4 ก.พ. และจากการดำรงตำแหน่งสมัยที่แรกของโดนัลด์ ทรัมป์

แต่ไม่กี่นาทีหลังจากกำแพงภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ ทางการจีนก็ประกาศมาตรการตอบโต้ในทันที โดยจะขึ้นภาษีในอัตรา 15% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ประเภท ไก่, ข้าวสาลี, ข้าวโพด และฝ้าย ขณะที่ขึ้น 10% ต่อสินค้านำเข้าประเภท ถั่วเหลือง, ข้าวฟ่าง, เนื้อหมู, เนื้อวัว, ผลิตภัณฑ์จากปลา, ผัก, ผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากนมวัว

มาตรการตอบโต้ของจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. เป็นต้นไป โดยครอบคลุมสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกให้แก่จีนถึง 15% มีมูลค่าการค้าขายอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนั้น จีนยังเพิ่มชื่อบริษัทอเมริกันอีก 15 แห่ง เข้าสู่บัญชีควบคุมการส่งออก ซึ่งห้ามบริษัทจีนส่งออกเทคโนโลยีที่สามารถใช้เพื่อจุดประสงค์หลายอย่างให้แก่บริษัทเหล่านี้ ขณะที่อีก 10 บริษัทถูกขึ้นบัญชีเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือ ฐานขายอาวุธให้ไต้หวัน
ต่อมา รัฐบาลออกคำสั่งให้มีการสืบสวนบริษัทสหรัฐฯ ที่ผลิตสายใยแก้วนำแสง หรือ ไฟเบอร์ออปติก ตามมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด และระงับใบอนุญาตส่งออกของผู้ส่งออกสัญชาติอเมริกัน 3 แห่ง และระงับการขนส่งไม้จากสหรัฐฯ มายังประเทศจีนด้วย

ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งตั้งกำแพงภาษีเม็กซิโก, แคนาดา และจีน ตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งเมื่อ 20 ม.ค. โดยกล่าวหาทั้ง 3 ประเทศว่ามีส่วนทำให้ยาเฟนทานิลหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ โดยเม็กซิโกกับแคนาดาเจรจากับสหรัฐฯ และให้คำมั่นว่าจะควบคุมชายแดนให้เข้มงวดขึ้น ทำให้การบังคับใช้กำแพงภาษีถูกเลื่อนออกไป 1 เดือน

ฝ่ายจีนกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า กำลังแบล็คเมลประเทศของพวกเขาด้วยกำแพงภาษี พร้อมยืนยันว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายต่อต้านยาเสพติดเข้มงวดที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่จีนเพิ่มการเก็บภาษีในอัตราไม่ถึง 20% หมายความว่าจีนอาจยังหวังที่จะเจรจาสงบศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ แต่หากสถานการณ์ลุกลามมากกว่านี้ โอกาสในการเจรจาก็จะยิ่งลดน้อยลง

ที่มา - thairath