ตลาดทองแดงโลกกลับมาอยู่ในจุดร้อนอีกครั้ง หลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนได้นำเข้าทองแดงเข้มข้นในเดือนล่าสุดมากถึงเกือบ 3 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ของประเทศ และอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรเทาความตึงตัวของตลาดในประเทศ พร้อมลดแรงกดดันด้านราคาทองแดงในประเทศที่กำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
การนำเข้าครั้งใหญ่นี้มีขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมถลุงแร่ทั่วโลกเผชิญกับภาวะต้นทุนถลุงสูงกว่ารายได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยเฉพาะในตลาด spot ซึ่งค่าธรรมเนียมแปรรูปได้ลดลงจนเข้าสู่ระดับ “ติดลบ” หมายความว่าโรงถลุงต้อง “จ่ายเงิน” เพื่อให้ได้รับแร่ทองแดงมาถลุง แทนที่จะเป็นฝ่ายรับค่าจ้างเหมือนในภาวะปกติ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียม spot สำหรับการแปรรูปแร่ทองแดงอยู่ที่ -57.50 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงจากระดับ -52.80 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อสิ้นเดือนเมษายน และนี่ถือเป็นแนวโน้มที่สะท้อนชัดว่า โรงถลุงทั่วโลกกำลังแย่งชิงวัตถุดิบกันอย่างดุเดือด ท่ามกลางภาวะอุปทานแร่ที่หายากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่โรงถลุงหลายแห่งทั่วโลกต้องชะลอหรือหยุดสายการผลิตจากแรงกดดันนี้ จีนกลับสามารถเพิ่มปริมาณการนำเข้าได้ต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่จีนสามารถจัดทำสัญญาซื้อล่วงหน้าได้มากขึ้น พร้อมกับได้รับอานิสงส์จากแหล่งแร่ขนาดใหญ่อย่าง PT Freeport Indonesia ที่กลับมาเดินหน้าส่งออกได้อีกครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม หลังถูกระงับไปนานสองเดือน
นายหลี่ เฉิงปิน นักวิเคราะห์จาก Mysteel Global วิเคราะห์ว่า โรงถลุงในจีนเตรียมพร้อมได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านการวางแผนจัดหาแร่และความสามารถในการบริหารต้นทุน ซึ่งแตกต่างจากโรงถลุงของ Glencore Plc ในฟิลิปปินส์ที่เพิ่งต้องหยุดผลิตจากภาวะขาดทุนค่าธรรมเนียม
แม้เศรษฐกิจจีนโดยรวมยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวในหลายภาคส่วน แต่ความต้องการใช้ทองแดงภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การจัดหาวัตถุดิบอย่างทองแดงเข้มข้นยังคงมีความสำคัญสูง และเป็นเครื่องสะท้อนว่า จีนยังเดินเกมเชิงรุกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สำคัญระดับโลก
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวด้านการนำเข้าของจีนยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเร่งสำรองโลหะและแร่สำคัญก่อนมาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายใต้นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอาจยิ่งกระตุ้นการแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรสำคัญให้เข้มข้นยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
ที่มา - news.trueid