จีนกลับมาเร่งการส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก (rare earth magnets) อย่างชัดเจนในเดือนมิถุนายน 2568 โดยข้อมูลจากศุลกากรจีนเผยว่าปริมาณการส่งออกพุ่งขึ้นเป็น 3,188 ตัน เพิ่มขึ้นกว่า 158% จากเดือนพฤษภาคมที่มีเพียง 1,238 ตัน ถือเป็นสัญญาณสำคัญหลังจากที่ปักกิ่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกบางส่วน โดยเฉพาะต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการจำกัดแร่หายากอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้า
การส่งออกแม่เหล็กจากจีนไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 46 ตันในเดือนพฤษภาคม เป็น 353 ตันในเดือนมิถุนายน แม้ปริมาณดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับเฉลี่ยก่อนจีนใช้มาตรการควบคุมในเดือนเมษายน แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองประเทศในการคลี่คลายความขัดแย้งด้านการค้า โดยเฉพาะหลังจากการเจรจาที่นครเจนีวา ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงเบื้องต้นที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า “จีนจะกลับมาส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กอย่างเต็มรูปแบบ”
แร่หายากและแม่เหล็กถาวรถือเป็นวัตถุดิบเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน และระบบอาวุธทันสมัย การขาดแคลนในช่วงที่จีนจำกัดการส่งออกทำให้หลายโรงงานทั่วโลกต้องชะลอหรือหยุดการผลิต ส่งผลกระทบลุกลามไปยังห่วงโซ่อุปทานโลก ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนจึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะศูนย์กลางการผลิตแม่เหล็กแร่หายากที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของกำลังผลิตทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับสหรัฐ แต่ยังรวมถึงอินเดียที่มียอดนำเข้าเพิ่มเป็น 172 ตัน จาก 150 ตันในเดือนก่อนหน้า แม้ว่าจีนยังไม่อนุมัติใบอนุญาตใหม่แก่ผู้ผลิตรถยนต์อินเดียเลยนับตั้งแต่เดือนเมษายน โดยยังมีใบสมัครค้างอยู่ถึง 30 ฉบับ
ในฝั่งยุโรป สหภาพยุโรปเริ่มเห็น “สัญญาณบวกเล็กน้อย” จากจีนเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตส่งออกแม่เหล็ก หลังการหารือระหว่างนายมารอช เซฟโควิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU กับรัฐมนตรีพาณิชย์จีน หวัง เหวินเทา เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าปัญหานี้จะถูกหยิบยกขึ้นหารืออีกครั้งในการประชุมสุดยอด EU-จีน ณ กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้
ในขณะที่ประเทศตะวันตกเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาแร่หายากจากจีน กระทรวงกลาโหมสหรัฐจึงตัดสินใจลงทุนในบริษัท MP Materials Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากเพียงรายเดียวในประเทศ เพื่อสร้างโรงงานแม่เหล็กถาวรในสหรัฐให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
ทางด้านจีนแม้จะพยายามสื่อสารว่าเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายใน ไม่ได้ต้องการครอบงำตลาดโลก แต่การที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบาย “ไม่ยอมผ่อนปรน” ต่อการลักลอบขนแร่หายากออกนอกประเทศ รวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด ก็ยิ่งทำให้หลายประเทศมองว่าจีนยังคงใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือเชิงนโยบาย
การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของจีนผ่านโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อนในทิเบตที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านหยวน หรือกว่า 167,000 ล้านดอลลาร์ ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อระบบนิเวศและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินเดีย
ขณะที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับเฉลี่ยสูงถึง 40% ก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสองประเทศ แม้จะมีความคืบหน้าในบางส่วนแล้วก็ตาม
สถานการณ์แร่หายากในครั้งนี้จึงสะท้อนความเปราะบางของระบบอุตสาหกรรมโลก และตอกย้ำความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงด้านทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่เศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลกเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้น