ทำเนียบขาวยืนยันเมื่อวันที่ 26 กันยายนว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ายาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะกำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 100% จะไม่ครอบคลุมประเทศที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อยู่แล้ว โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองฝ่ายได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการค้าผลิตภัณฑ์ยาไว้ในสนธิสัญญาก่อนหน้านี้

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวอธิบายว่า ยาจากสหภาพยุโรปจะเสียภาษีนำเข้าไม่เกิน 15% ตามกรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างสองฝ่าย ขณะที่ญี่ปุ่นจะยังคงเสียภาษีในอัตราที่กำหนดไว้ตามสนธิสัญญาทวิภาคีที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ซึ่งในแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังได้ยืนยันว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่เรียกเก็บภาษีจากยาและเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นเกินกว่าที่กำหนดไว้กับสหภาพยุโรป

ต่างจากสหราชอาณาจักรที่แม้จะเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกยารายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ แต่กลับต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าเต็ม 100% เนื่องจากการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างลอนดอนและวอชิงตัน แม้จะมีเงื่อนไขคล้ายกับที่ญี่ปุ่นและอียูได้รับ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถหาข้อสรุปในเรื่องการยกเว้นภาษียาได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตยาของอังกฤษอยู่ในสถานะเสียเปรียบโดยตรง

ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า “สหรัฐฯ จะเก็บภาษี 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร เว้นแต่บริษัทผู้ผลิตจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตในอเมริกา” ทั้งนี้ หากบริษัทต่างชาติเริ่มก่อสร้างโรงงานจริง ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดในขั้นตอนอนุมัติอีกครั้ง

การออกมาตรการภาษีครั้งนี้ถือว่ามีลักษณะฉับพลัน ทำให้หลายประเทศที่มีการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อยู่แล้วเกิดความไม่แน่ใจว่า ข้อตกลงเก่าจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีของญี่ปุ่นและอียูได้สะท้อนชัดเจนว่าการมีสนธิสัญญาที่ผูกพันทางกฎหมายสามารถคุ้มครองภาคอุตสาหกรรมยาจากการถูกเรียกเก็บภาษีในระดับรุนแรงได้

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเผยว่า ในปี 2024 ญี่ปุ่นส่งออกยามายังสหรัฐฯ มูลค่า 4.11 แสนล้านเยน หรือประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1.9% ของการส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมยาของญี่ปุ่น หากไม่ได้รับการยกเว้นตามข้อตกลงที่มีอยู่

การประกาศของทรัมป์ครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความกังวลต่อประเทศคู่ค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้บริษัทผู้ผลิตยาระดับโลกต้องเร่งประเมินกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ว่าจะย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือจะผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้ราคายาในตลาดโลกขยับสูงขึ้นในระยะถัดไป