ทองคำทะยานแตะ 4,050 ดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแรงกลบข่าวดีดีลยุติชัตดาวน์

ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแตะระดับ 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแรง แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจายุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลาง โดยแรงซื้อทองคำกลับมาคึกคักจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางนโยบายการเงิน

รายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ระบุว่าราคาทองคำขยับขึ้นเป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐร่วงลงใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางและราคาสินค้าที่พุ่งสูง กดดันมุมมองต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ราคาทองคำในตลาดสปอตล่าสุดอยู่ที่ 4,048.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเวลา 11.20 น. ตามเวลาสิงคโปร์

ด้านสถานการณ์ทางการเมืองในกรุงวอชิงตันมีสัญญาณบวกหลังกลุ่มวุฒิสมาชิกสายกลางของพรรคเดโมแครตตกลงสนับสนุนร่างข้อตกลงเพื่อเปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลอีกครั้ง ซึ่งอาจช่วยยุติวิกฤตชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อมายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การระงับเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องดำเนินนโยบายโดยอาศัยข้อมูลไม่ครบถ้วน ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างเงินเฟ้อที่ยังสูงกับตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง

วาสุ เมนอน นักกลยุทธ์การลงทุนจาก Oversea-Chinese Banking Corp. ให้ความเห็นว่า เมื่อความเสี่ยงจากการชัตดาวน์ลดลง นักลงทุนจะกลับมาให้ความสำคัญกับทิศทางนโยบายของเฟด หากรัฐบาลกลับมาเปิดทำการและสามารถเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ค้างอยู่ได้ เฟดอาจมีช่องทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้น หากข้อมูลยืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว

แม้ราคาทองคำจะร่วงลงราว 8% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม แต่โดยรวมยังเพิ่มขึ้นกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปี โดยได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง รวมถึงความต้องการจากภาคค้าปลีก

ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า จีนได้เพิ่มการถือครองทองคำในทุนสำรองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ในเดือนตุลาคม ขณะที่กองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาทองคำก็มีเงินไหลเข้าสุทธิติดต่อกันสองวัน ด้านค่าเงินดอลลาร์บลูมเบิร์กอินเด็กซ์ขยับขึ้นเล็กน้อย 0.1% ส่วนราคาซิลเวอร์ แพลทินัม และพัลลาเดียมต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน สะท้อนกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงแข็งแรงในภาวะเศรษฐกิจโลกเปราะบาง