แม้ทุเรียนไทยจะขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” และเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ แต่วิกฤตครั้งใหม่กำลังก่อตัวแบบเงียบๆ เมื่อผู้ส่งออกเริ่มเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งในภูมิภาค ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่เริ่มตีตลาดจีนได้มากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามที่ถูกจับตาว่ามีการสวมสิทธิ์ส่งออกทุเรียนเข้าจีนภายใต้โควต้าของไทย ทำให้ราคาตลาดรวมร่วงหนัก
แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมทุเรียนไทยระบุว่า เวลานี้เริ่มมีทุเรียนเวียดนามเล็ดลอดเข้ามาสวมสิทธิ์ส่งออกผ่านระบบของไทยมากขึ้น แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่สัญญาณความผิดปกติในราคาตลาดและพฤติกรรมของล้งส่งออกก็ทำให้คนในวงการเริ่มกังวล ว่าหากปล่อยไว้โดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ไทยอาจเสี่ยงเสียตำแหน่งผู้นำตลาดทุเรียนในจีนในไม่ช้า
ธวัชชัย จุงสุพงษ์ เจ้าของ Toby’s Farm สวนทุเรียนพรีเมียมจากจันทบุรี สะท้อนภาพรวมปีนี้ว่า ตลาดทุเรียนไทยเจอกับความท้าทายหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องสภาพอากาศที่แปรปรวน ผลผลิตออกช้า ราคาปรับขึ้นเฉียด 200 บาทต่อกิโลกรัม และต้องเผชิญกับมาตรการคุมเข้มจากฝั่งจีนหลังมีข่าวเรื่องล้งบางแห่งใช้สารเคลือบสีผลไม้ในปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เวียดนามยังได้เปรียบในด้านต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐาน เพราะต้นทุนการผลิตทุเรียนของเวียดนามเฉลี่ยแค่ 19 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ของไทยอยู่ที่ราว 40 บาท แถมยังมีรถไฟความเร็วสูงที่สามารถขนส่งทุเรียนไปถึงจีนภายใน 3 ชั่วโมง จึงไม่แปลกที่ราคาทุเรียนเวียดนามจะต่ำกว่ามาก อยู่ที่เพียง 110-120 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับของไทยที่ขายส่งออกในราคา 240-250 บาท
ปัจจัยนี้เองทำให้มีผู้ประกอบการบางกลุ่มหันไปหาทางลัด โดยนำทุเรียนเวียดนามมาสวมสิทธิ์ส่งออกในนามของทุเรียนไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและดันราคาลง ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ภาพลักษณ์ทุเรียนไทยเสียหาย และผู้ประกอบการรายเล็กสูญเสียโอกาสในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม วิชัย ศิระมานะกุล ซีอีโอของ NTFG ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกผลไม้พรีเมียมรายใหญ่ ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของทุเรียนไทย โดยเฉพาะด้านรสชาติที่โดดเด่น ภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการปลูก และความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนที่ลึกซึ้งกว่าเวียดนาม ที่ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร
แม้จะเจอคู่แข่งรุมเร้า แต่ทุเรียนไทยยังมีโอกาสเติบโต หากสามารถรักษาคุณภาพได้ต่อเนื่อง และเร่งปรับตัวเรื่องต้นทุนให้แข่งขันได้ การขยายตลาดไปยังชุมชนชาวจีนในต่างประเทศก็ยังเป็นช่องทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่ออุปสงค์ยังมีอยู่มหาศาลในหลายประเทศ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ภาครัฐต้องไม่อยู่เฉยกับปัญหาสวมสิทธิ์ที่กำลังกัดกร่อนความเชื่อมั่นของตลาด หากไม่เร่งแก้เกม ไทยอาจต้องเผชิญกับการเสียตำแหน่งแชมป์ตลาดทุเรียนในจีนให้เพื่อนบ้านเร็วกว่าที่คิด