สร้างความอยู่รอดของผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก และสร้างโอกาสของการเติบโต รวมไปถึงชิงความได้เปรียบทางการแข่งขันทางการค้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่
แนวนโยบายการลดและผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อกิจการ หรือการควบรวมธุรกิจที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยมีรัฐบาลสหรัฐเป็นผู้นำหลัก ยิ่งตอกย้ำถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการควบรวมธุรกิจของโลก จากรายงานการรวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มการควบรวมธุรกิจในปี 2568 ของสหรัฐจะสูงขึ้นมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ และน่าจะสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ข้อมูลสถิติการควบรวมธุรกิจในประเทศไทย ที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ได้เปิดเผยจำนวนและมูลค่าการควบรวมธุรกิจตั้งแต่ปี 2562-2567 พบว่า มีจำนวนการควบรวมธุรกิจทั้งหมด 163 กรณี หรือคิดเป็นมูลค่าการควบรวมธุรกิจ 4.88 ล้านล้านบาท
โดยในปี 2565 มีจำนวนการควบรวมธุรกิจมากที่สุดถึง 42 กรณี ในขณะที่ปี 2564 มีมูลค่าการควบรวมธุรกิจมากที่สุดสูงถึง 2.05 ล้านล้านบาท เนื่องจากในปีดังกล่าว มีกรณีการควบรวมธุรกิจที่เข้าหลักเกณฑ์จะต้องขออนุญาตควบรวมธุรกิจ ซึ่งมักมีมูลค่าของการควบรวมธุรกิจที่สูง
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา มีจำนวนการควบรวมธุรกิจทั้งสิ้น 21 กรณี คิดเป็นมูลค่าการรวมธุรกิจ 5.99 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกรณีการแจ้งผลการควบรวมธุรกิจ 17 กรณี และการขออนุญาตควบรวมธุรกิจ 4 กรณี
โดยธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ มีมูลค่าการควบรวมธุรกิจสูงที่สุดถึง 1.82 แสนล้านบาท รองลงมาเป็นธุรกิจทางการแพทย์ที่แม้จะมีเพียง 1 กรณี แต่เข้าหลักเกณฑ์จะต้องขออนุญาตควบรวมธุรกิจ ซึ่งมีมูลค่าการควบรวมธุรกิจสูงถึง 1.25 แสนล้านบาท หากรวมมูลค่าการควบรวมธุรกิจของทั้งสองธุรกิจดังกล่าว จะพบว่า มีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าการควบรวมธุรกิจทั้งหมดในปี 2567
จากข้อมูลข้างต้น อาจสามารถคาดการณ์ได้ว่า การควบรวมธุรกิจในประเทศไทยปี 2568 จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าไม่น่าจะน้อยไปกว่าในปีที่ผ่านมา โดยอุตสาหกรรมประเภทธุรกิจบริการ และธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม ยังคงน่าจับตามอง
เนื่องจากข้อมูลสถิติการควบรวมธุรกิจในประเทศไทย ปี 2566-2567 สะท้อนให้เห็นถึงจำนวนและมูลค่าการควบรวมธุรกิจที่สูงเป็นสองอันดับแรกของประเภทอุตสาหกรรม
ที่มา - bangkokbiznews